“แผนที่ชี้รวย” โดย Wealthy Man ช่วงนี้ต้องยอมรับว่าต่างชาติเข้าตลาดหุ้นไทยไม่หยุด แม้ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดก็ตาม

ส่วนสาเหตุ ทาง “ศรพล ตุลยะเสถียร” รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บอกว่า เพราะตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจ เมื่อพิจารณาจาก Historical P/E ratio ณ สิ้นเดือนมกราคม 2565 อยู่ที่ 14.85 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค และต่ำกว่าในช่วงก่อนโควิด-19 รวมถึงต่ำสุดในรอบ 8 ปี เทียบกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งบลูมเบิร์ก Consensus คาดว่าจะมีการเติบโต นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่  เงินทุนต่างประเทศ หรือ Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในเดือนมกราคม 2565  มีการซื้อสุทธิ 14,234 ล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อสุทธิเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน 

ใครยังไม่มีบัญชีหุ้นระวังไม่อินเทรนด์ เพราะข้อมูลตลาดหลักทรัพย์บ่งชี้ว่า สิ้นปี 64 พบมียอดเปิดบัญชีหุ้นรวมสะสมกว่า 2.2 ล้านคน หรือราว 5.2 ล้านบัญชี  โดยนักลงทุนที่เปิดบัญชีใหม่พบว่าเป็นนักลงทุน Gen Y และ Gen Z มากขึ้นซะด้วย โดย Gen Y (อายุ 25-41 ปี) ครองตลาดหุ้นไทยมากที่สุดกว่า 585,000 คน หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 51% ของจำนวนบัญชีทั้งหมด รองลงมาคือ นักลงทุน Gen X (อายุ 42-56 ปี) จำนวน 307,000 คน คิดเป็นสัดส่วน 27%

ส่วนนักลงทุน Gen Baby boom (อายุ 57-75 ปี) และ Postwar (อายุ 76 ปีขึ้นไป) จำนวน 143,000 คน คิดเป็นสัดส่วน 13% ขณะที่นักลงทุน Gen Z (อายุ 13-24 ปี) ก็เริ่มเข้ามาไม่น้อยจำนวน 94,000 คน คิดเป็นสัดส่วน 8%

กลุ่มนักลงทุนที่เทรดหุ้นเฉลี่ยต่อวันมากที่สุดคือ Gen X ซึ่งมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยสูงถึง 16,866 ล้านบาทต่อวัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 39% ของวอลุ่มรวมทั้งหมด รองลงมาได้แก่ Gen Baby boom & Postwar มูลค่าการซื้อขาย 12,889 ล้านบาทต่อวัน หรือคิดเป็น 30%, Gen Y มูลค่าการซื้อขาย 10,678 ล้านบาทต่อวัน หรือคิดเป็น 25% และGen Z มูลค่าการซื้อขาย 945 ล้านบาทต่อวัน หรือคิดเป็น 2%

สถานการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่พุ่งขึ้นเรื่อยๆ ทำให้กลุ่มประกันภัย และ กลุ่มแบงก์ มีเสน่ห์อีกแล้ว ขณะที่กลุ่มไฟฟ้าก็จะซบเป็นเรื่องปกติ ตอนนี้ต้องยอมรัยว่าหลายค่าเริ่มที่จะปรับลดน้ำหนักการลงทุนของกลุ่มไฟฟ้าลง เพราะกังวลต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่พุ่งขึ้น แต่ก็ต้องแยกกลุ่มขายไฟฟ้าให้ออกพวกที่ ขายให้กับภาคอุตสาหกรรมจะรับผลกระทบ เช่น GPSC และ BGRIM แต่ RATCH และ EGCO เนื่องจากขายไฟให้การไฟฟ้า จะได้ชดเชยต้นทุน

แม้โควิดจะระบาดไม่จางแต่การเดินทางวันนี้กลับสู่ปกติ ทำให้กลุ่มเซ็นทรัลฟื้นทั้ง CRC และ CPN แว่วมาว่าตัวเลขทราฟฟิคการเดินห้างของ CPN ฟื้นตัวดีขึ้น แถมมีมาตรการภาครัฐหนุน งานนี้พอไม่ต้องให้ส่วนลดร้านค้ามากนักก็ทำให้งบฟื้น 

กลิ่นเลือกตั้งโชยแตะจมูกมากขึ้นเรื่อยๆ ใครอยากรู้ไปติดตามการเมือง บรรยากาศแบบนี้ให้จับตาที่เกี่ยวพันกับการเลือกตั้งที่มีโอกาสวิ่ง เด่นๆ ก็พวกค้าปลีก โฆษณา ที่จะมีเม็ดเงินสะพัด แต่หุ้นที่เต็งโดยตรงกับการเลือกตั้งบัตร  2 ใบต้องยกให้กับ TKS เพราะคือโรงพิมพ์รายใหญ่ ผู้ผลิตบัตรเลือกตั้ง และมีประสบการณ์รับผลิตมาโดยตลอด อู้ฟู้เพิ่มเติม ขณะที่หุ้น SABUY ที่ TKS ถือไว้ที่ราคาราว 8 บาท วันนี้มูลค่ากระโดดเป็น 30 บาทในช่วงระยะเวลาไม่ถึงปี แถมบริษัทยังประกาศก้าวขึ้นสู้หุ้นเทคโนโลยีอีก ถือว่าเป็นต้นแบบของธุรกิจที่ ประธานสภาอุตสหากรรม “สุพันธุ์ มงคลสุธี” ทำให้สมาชิกเห็น ล่ะครับ!! สวัสดี!!

เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้แล้ววันนี้!....