ตีแผ่ 7 กับดักอุปสรรคที่ทำให้ธุรกิจไปไม่ถึงฝั่งฝัน

 

การจัดงานสัมมนาแบบเอ็กซ์คูลซีพในหัวข้อ 7 กับดักที่ไม่สามารถนำธุรกิจไปถึงฝั่งฝันได้มีอะไรบ้าง  ของธนาคารยูโอบี โดยได้เชิญ คุณเดวิด โควีย์   1 ใน 100 วิทยากรทรงอิทธิพลของโลก ปี 2018  ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการอบรมผู้นำทางความคิดระดับโลก  ผู้คิดค้นทฤษฎี Trap Tales : 7  Outsmarting The 7 Hidden Obstracles to Success ที่คนทั่วโลกกำลังให้การตอบรับ ได้มาให้ความรู้กับกลุ่มลูกค้ายูโอบีพริวิเลจ แบงก์กิ้งและกลุ่มลูกค้ายูโอบี เวลธ์แบงก์กิ้ง ที่ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของธุรกิจ ปรากฏว่า ได้รับความสนใจเนื่องแน่นจากลูกค้าของธนาคารต่างเข้าร่วมหลักสูตรเทรนนิ่งระดับโลกนี้มากกว่า 1,200 ราย

คุณยุทธชัย เตยะราชกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การจัดงานสัมมนาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว เป็นการตอบแทนลูกค้าในกลุ่มการลงทุนทั้ง 3 ระดับ คือ กลุ่มลูกค้าลงทุนน้อยกว่า 1 ล้านบาท กลุ่มลูกค้าลงทุน1-5 ล้านบาทและกลุ่มลูกค้าลงทุนตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ถือเป็นการตอบแทนลูกค้าจากรูปแบบเดิมๆ ที่เคยทำมา โดยช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา การดูแลลูกค้า ทางธนาคารจะเน้นเรื่อง สันทนาการ บันเทิง  ตีกอล์ฟ ทานข้าว ดูละครเวที ดูคอนเสิร์ต จนถึงจุดหนึ่งได้ทำ โฮสต์อีเว้นท์ เซอร์เวย์ สอบถามลูกค้าในสิ่งที่ลูกค้ามีความต้องการ และพบว่า สิ่งที่ลูกค้ากำลังมองหาอยู่คือประสบการณ์บางอย่างที่เพิ่มพูนความรู้ในลักษณะที่เงินซื้อไม่ได้ หรือเงินซื้อได้แต่ลูกค้าไม่มีเวลาเลยมีแนวคิดว่า  สามารถจัดเป็น Private Event  โดยเชิญ วิทยากรทรงอิทธิพลระดับโลก มาพูดให้ข้อคิดกับลูกค้าของธนาคาร  น่าจะเป็นอะไรที่ตอบแทนลูกค้าที่ดีกว่า และเป็นการยกระดับที่เหนือบริการให้แก่ลูกค้าชั้นดีที่เพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่เคยทำมา เพราะกิจกรรมตีกอล์ฟ ทานข้าว ดูละครเวที ดูคอนเสิร์ต  กิจกรรมเหล่านี้ ล้วนเป็นกิจกรรมที่ลูกค้ามีเงินก็หาซื้อได้

ฉะนั้น ธนาคารจึงเริ่มฉีกภาพเดิมของธนาคารที่เน้น เรื่องความชาญฉลาด  เรื่องของผลิตภัณฑ์การเงิน การลงทุนให้กับลูกค้าเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดี ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่ดี โดยเพิ่มองค์ประกอบเรื่องของเวลาและการคัดสรร วิทยากรทรงอิทธิพลระดับโลกมาตอบแทนลูกค้า ในเรื่องของการให้ความรู้การทำธุรกิจ  ให้ลูกค้าสามารถนำข้อคิดเหล่านั้นมาพัฒนาใช้ร่วมกับชีวิตครอบครัวในชีวิตประจำวันได้   ซึ่งTrap Tales  เป็นอีกมุมหนึ่งที่มีเนื้อหาค่อนข้างเทคนิคอลสำหรับผู้ที่เริ่มทำงานไปแล้ว หรือมีเริ่มครอบครัวแล้ว ที่แต่ละต่างก็พบว่า มีหลายปัจจัยที่เป็นกับดักในชีวิตแต่มองไม่เห็นว่าเป็นกับดัก ดังนั้นเนื้อหานี้จึงมีความน่าสนใจและสามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตการทำงาน  ชีวิตครอบครัวได้

 

คุณเดวิด โควีย์ เจ้าของ ทฤษฎี Trap Tales : 7  Outsmarting The 7 Hidden Obstracles to Success กล่าวว่า เนื้อหาโดยสรุปของ   7 Trap Tales ปลดล็อคกับดักธุรกิจ  ที่เป็นอุปสรรคของการทำธุรกิจให้ไม่ไปถึงฝั่งฝันนั้นในกับดัก 7 อย่างแบ่งออกเป็น 3 หมวดหมู่ด้วยกัน

หมวดหมู่แรก  กับดักเกี่ยวกับตัวเอง มี 3 ข้อคือ

1.เรื่องของ การโฟกัส

2.เรื่องของการ เปลี่ยนแปลง

3.เรื่องของการเรียนรู้

หมวดหมู่ที่ 2 กับดักที่เกี่ยวกับเรื่อง Teamwork

4.Zen ให้ความสำคัญในเรื่องของ อารมณ์ ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตัวเรา

5.Collaboration ความร่วมมือกัน

6.Career การไต่เต้าในหน้าที่ อาชีพการงาน

หมวดหมู่สุดท้าย เป็นกับดักขององค์กร

7.The Purpose  องค์กรเราจะมีเป้าหมายอะไรที่จะพัฒนาองค์กรต่อไป

คุณเดวิด เล่าว่า ทฤษฎีของคุณเดวิดจะแตกต่างจากของคุณพ่อซึ่งเป็นเจ้าของผลงานเรื่อง 7 habit  หรือ  7 อุปนิสัยของผู้ประสบความสำเร็จที่ใหป้ข้อคิดและข้อแนะนำว่า ทำอย่างไรเราจึงจะประสบความสำเร็จ แต่ของคุณเดวิด จะมีทางออกถึง 7 อย่างว่า มีอะไรที่เป็นกับดักทำให้คนไม่ประสบความสำเร็จบ้าง เพื่อช่วยพัฒนาตัวเองให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างไม่หยุดยั้ง และเชื่อว่าในหนังสือเล่มนี้มีกลยุทธ์ที่สามารถช่วยเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ประสบความสำเร็จได้มากจากเดิมยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ 7 Trap Tales เหมาะกับทุกคนที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตใหม่ ครอบครัวใหม่หรือทุกธุรกิจที่เริ่มต้นใหม่ๆ ซึ่งอยากให้เริ่มโฟกัสที่ตัวเองก่อนว่า  เราเป็นอย่างไร เมื่อโฟกัสตัวเองได้แล้ว ถึงจะทราบว่า เราต้องเปลี่ยนแปลงในตัวเองอย่างไรบ้าง และเมื่อเปลี่ยนแปลงได้แล้วแต่ต้องมาจากจุดที่เราได้เรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้ด้วย   ฉะนั้นเราไม่ควรโฟกัสไปที่ปัญหาก่อน แต่ให้โฟกัสตัวเองเพื่อให้รู้ว่าเราต้องเปลี่ยนแปลงอะไรให้ keep ไว้ตลอดเวลาเพื่อจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

ส่วนเรื่องของอารมณ์ บางครั้งเกิดจากการกระตุ้นจากสิ่งรอบตัว ฉะนั้นตัวเองต้องรู้ว่า อะไรคือจุดที่ถูกกระตุ้นแล้วทำให้เกิดอารมณ์นั้นขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น ขับรถอยู่ดีๆบังเอิญมีรถยนต์คันหนึ่งขับปาดหน้ามา สิ่งที่เราแสดงออกมาได้คือ การมองไปที่บุคคลนั้นอย่างมีความเข้าใจว่า อาจมีแรงกระตุ้นอะไรบางอย่างให้ต้องทำแบบนั้นออกมา จะช่วยทำให้เราเข้าใจคนอื่นมากขึ้น แต่โดยปกติแล้วคนเราเวลามีอารมณ์มักแสดงออกมามีอยู่ 2 อย่างคือ Negative หรือแสดงออกไปเลยหรือไม่ก็หนีปัญหาไปเลย ซึ่งไม่ดีทั้ง 2 อย่าง

วิธีเปลี่ยนความคิดของตัวเองไม่ให้เป็นไปตามจุดกระตุ้นทางอารมณ์ของตัวเองคือ มองในมุมที่กว้างขึ้นแบบเข้าใจคนอื่นว่าทำไมเขาถึงได้แสดงออกแบบนั้นออกมาก็จะช่วยให้เราก้าวข้ามปัญหาทางด้านอารมณ์ออกไปได้  ดังนั้นสิ่งสำคัญจึงอยู่ที่ว่าเราจะแสดงออกเพื่อเลือกตอบโต้แบบไหนจะ Negative หรือ Positive  เพราะทุกคนต้องมีปัญหาเข้ามาในชีวิตอยู่แล้ว และต้องเผชิญปัญหากับชีวิตดร.เดวิด บอกว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จส่วนมากจะมีวิธีคิดและมีการตอบสนองแบบ Positive มากกว่า

ส่วนเรื่องของการสร้างทีมเวิร์ค เรื่อง การสื่อสารภายในองค์กรเป้นเรื่องสำคัญที่ต้องเล่าเรื่องให้คนในองค์กรเห็นภาพในทิศทางเดียวกันบางครั้งอาจต้องเล่านิทานเปรียบเทียบเพื่อให้คนเห็นภาพ ถึงจะสร้างทีมเวิร์คให้เกิดขึ้นในองค์กรได้

“ความท้าทายค่อนข้างใหญ่ของของชาวไทยหรือชาวเอเชีย คือเรื่องของ Good Think ทุกคนต้องคิดเห็นไปแนวทางเดียวกันหมด ใครคิดต่างคือผิด ซึ่งบางที Best Idea ความคิดดีๆมักเกิดจากคนที่คิดต่างจากคนทั่วไป ถ้าเราไม่กระตุ้นให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นร่วมกัน บริษัทนั้นๆ องค์กรนั้นๆ ก็จะไม่สามารถมีนวตกรรมได้ในฐานะที่เป็นผู้นำองค์กรเราควรที่จะให้ลูกทีมช่วยกันแสดงความคิดเห็นแล้วเปิดรับความคิดเห็นให้มากที่สุด ความคิดไหนไม่ถูกก็ให้เรียนรู้และปรับปรุงใหม่” คุณเดวิดกล่าว

อย่างไรก็ตาม คุณเดวิด กล่าวว่า Trap ที่คนติดกับดักกันมากที่สุด คือ  Lerning Trap คือ เรื่องของการเรียนรู้ เพราะว่าคนส่วนใหญ่มักจะยึดติดอยู่กับอีโก้ของตัวเองคือ ฉันเรียนมาแล้ว ฉันรู้แล้ว ฉันเจ๋งแล้ว ฉันดีแล้ว ฉันมีอีโก้เหมือนกับว่าฉันมีตัวตนที่ฉันเป็นในสิ่งที่คนอื่นเห็น พอเป็นอย่างนี้แล้ว เหมือนน้ำล้นแก้ว  ยากที่จะเปลี่ยนความคิด  หากต้องการพัฒนาตัวเองต้องมองตัวเองเป็นเหมือนเด็กที่กำลังเริ่มหัดเดิน เดินไม่ได้ล้ม ก็ฝึกลุกขึ้นมาเดินใหม่ มาฝึกยืนใหม่ ยืนอย่างไรไม่ให้ล้ม  การเรียนรู้ตรงนี้คือ การเรียนรู้จากสิ่งที่ตัวเองผิดและเพื่อก้าวข้ามไปได้เพื่อที่จะพัฒนาสิ่งใหม่ได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว หลายองค์กรที่ประสบความสำเร็จ อย่างพิซซ่า เมื่อก่อนไม่รู้ก็ทำและแก้ ไม่เวิร์คก็ทำใหม่ซ้ำๆจนเกิดเป็นความสำเร็จได้

มองว่าถ้าคนเราก้าวข้ามไปได้ก็จะไม่อยู่ใน Lerning Trap นี้ คนเรามี 2 จุดที่ก้าวผ่านจุดนี้ไปไม่ได้คือ 1. มีอีโก้  2. ไม่กล้าที่จะเปลี่ยนตัวเองออกจาก Comfort Zone แทรปนี้จึงเป็นเหมือนหลุมใหญ่ที่สุด ซึ่งหนังสือเล่มนี้เหมือนกับให้เรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาดต่างๆแล้วมาวางว่าอะไรที่เป็นหลุมพรางที่เราควรจะเลี่ยงออกไปได้ หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนเชือกที่จะดึงคุณขึ้นมาจากหลุมพรางนั่นเอง.

เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้แล้ววันนี้!....