“กลุ่มโตเกียวมารีน” แต่งตั้ง 2 ผู้บริหารระดับสูง เสริมความแข็งแกร่งประเทศไทย
Mr. Shinichi Hirose Executive Director กลุ่มโตเกียวมารีนภูมิภาคเอเชีย เปิดเผยว่า ได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลธุรกิจในประเทศจีนและเอเชียตะวันออก โดยจะทุ่มเทความรู้ความสามารถเพื่อพัฒนาธุรกิจ TMAsia โดยเฉพาะ ธุรกิจประกันชีวิต เพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตไปอย่างรวดเร็ว ควบคู่ไปกับการสร้างหลักประกันความคุ้มครองในชีวิตและทรัพย์สินที่มั่นคงให้กับลูกค้า
ทั้งนี้ ธุรกิจประกันชีวิตกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายอย่างสูงจากหลายด้านทั้งผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลก การสร้างพื้นฐานของช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่น่าสนใจ การสร้างความพึงพอใจและความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในระดับที่สูงขึ้น รวมไปถึงการพัฒนาในด้าน IT ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายในการเผชิญกับความท้าทาย ดั้งนั้น จึงมีความมุ่งมั่นอย่างสูงเพื่อพิสูจน์ให้พนักงานเห็นถึงความพยายามในการสร้างบริษัทแห่งนี้ให้เป็น Good Company
ด้าน Mr. Shin Tanimoto กรรมการผู้จัดการ บมจ.โตเกียวมารีนประกันชีวิต (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า รู้สึกมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา ต่อจาก Mr. Ryusuke Futamura ที่ได้ย้ายไปรับผิดชอบบริหารงาน ดูแลกลุ่มบริษัทประกันชีวิตในภูมิภาคเอเชีย ที่ไปประจำอยู่ที่ Tokio Marine Asia ประเทศสิงคโปร์
ซึ่งพร้อมที่จะนำประสบการณ์ที่แตกต่างในหลายประเทศมาขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทโตเกียวมารีนประเทศไทยให้เติบโตมากยิ่งขึ้น โดยภารกิจสำคัญคือการมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและบริการที่ยอดเยี่ยมให้แก่ลูกค้า และเชื่อมโยงสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทต่อไปในอนาคต ภายใต้การกำกับการดูแลของ คุณสมโพชน์ เกียรติไกรวัล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โตเกียวมารีนประกันชีวิต (ประเทศไทย) ที่เป็นแม่ทัพมากประสบการณ์ และมีผลงานอันยอดเยี่ยม การเติบโตอย่างต่อเนื่องของช่องทางตัวแทนของโตเกียวมารีนประกันชีวิต เกิดขึ้นจากศักยภาพความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งของ คุณสมโพชน์ พลังตัวแทน และพนักงานทุกคน
นายสมโพชน์ เกียรติไกรวัล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โตเกียวมารีนประกันชีวิต (ประเทศไทย) เปิดเผยถึง ผลประกอบการบริษัทประจำปี 2560 มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 6,157 ล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยรับปีแรก 1,465 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยรับปีต่ออายุ 4,692 ล้านบาท บรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ โดยมีอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับรวม 13% เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับผลประกอบการปีที่แล้ว ทั้งนี้มีสัดส่วนการขายหลักมาจากช่องทางการขายผ่านตัวแทนประกันชีวิต ประกันกลุ่ม และช่องทางอื่นๆ ตามลำดับ
สำหรับ ในปี 2561 บริษัทตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับรวม 12% โดยเป็นเบี้ยประกันภัยรับรวม 6,924 ล้านบาท เบี้ยประกันภัยรับปีแรก 1,816 ล้านบาท สำหรับไตรมาสหนึ่ง ประจำปี 2561 บริษัทมีผลผลิตเบี้ยประกันภัยรับรวม 1,275 ล้านบาท
นายสมโพชน์ กล่าวด้วยว่า ทิศทางการขับเคลื่อนธุรกิจในปีนี้ บริษัทได้มุ่งเน้นที่จะพัฒนาใน 3 เสาหลัก ประกอบด้วย
1. การพัฒนาบุคคลากร ทั้งสายงานฝ่ายขายและพนักงานให้มีความรู้ความสามารถเพื่อรองรับกับการเติบโต และการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจใน ยุค 4.0 ซึ่งบริษัทฯ กำลังพัฒนา Mobile Application เพื่อเป็นเครื่องมือให้ฝ่ายขายในการนำเสนอแบบผลิตภัณฑ์ รวมถึงการส่งใบคำขอเอาประกันภัยแบบออนไลน์ ซึ่งลูกค้าจะได้รับทราบผลการพิจารณาแบบเรียลไทม์
2. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้มีความหลากหลายและครอบคลุมความต้องการของทุกกลุ่มเป้าหมาย บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นให้ประชาชนชาวไทยได้ตระหนักถึงการเตรียมความพร้อมทางการเงิน เพื่อรับมือกับชีวิตหลังเกษียณ รวมถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น
3.การพัฒนากระบวนการทำงาน เพื่อเป็นการตอบสนองต่อนโยบายการยกระดับคุณภาพการบริการและมุ่งเน้นการบริการที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลางผ่านเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อบริการที่รวดเร็ว คล่องตัวบริษัทฯ มีโครงการที่จะเพิ่มบริการต่อไปนี้
– ขยายเวลาการให้บริการของ Call Center เป็น 24 ชั่วโมง ทุกวัน โดยในระยะแรกจะให้บริการ 24 ชั่วโมงสำหรับลูกค้าประกันกลุ่ม ส่วนบริการลูกค้ารายบุคคลในระยะแรกจะเริ่มจากการให้บริการ 08.30 – 20.00 ทุกวัน ในอนาคตจะขยายเวลาการให้บริการ 24 ชั่วโมงเช่นกัน
– ระบบการนำเสนอแบบประกัน การสมัครและพิจารณารับประกันภัยผ่าน Mobile Application โดยระบบงานนี้ทำให้ตัวแทนสามารถนำเสนอแบบประกันพร้อมทั้งอำนวยความสะดวกในการสมัครทำประกันภัย การชำระเงิน รวมถึงรับทราบผลการพิจารณารับประกันภัยทันทีต่อหน้าลูกค้า ซึ่งจะล่นระยะเวลาจากเดิมต้องใช้เวลาขั้นต่ำ 3 วันเหลือเพียงไม่กี่นาที และในอนาคตอันใกล้ จะพัฒนาระบบการส่งมอบกรมธรรม์ในรูปของดิจิทัล หรือ E-Policy
อย่างไรก็ตาม มองว่าแนวโน้มของธุรกิจประกันชีวิตในปีนี้มีโอกาสที่จะเติบโตเนื่องจากประชาชนให้ความสำคัญของการเก็บออมเพื่อรับมือหลังเกษียณกันมากขึ้น รวมทั้งการตระหนักถึงค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากการเข้ารับการรักษาพยาบาลในกรณีเจ็บป่วย ซึ่งบริษัทได้ให้ความสำคัญถึงการเตรียมความพร้อมทางด้านการเงินให้กับลูกค้ามาตั้งแต่เริ่มต้น ไม่เพียงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สอดรับความต้องการด้านการเกษียณ และด้านค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น หากแต่บริษัทยังได้เสริมสร้างความรู้ให้กับฝ่ายขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ฝ่ายขายของเรามีความรู้ที่ถูกต้องในการให้คำแนะนำลูกค้า
ดังจะเห็นได้จากการร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อพัฒนาหลักสูตร CRP “Certified Retirement Planner” ที่ได้มีการอบรมอย่างต่อเนื่องให้กับตัวแทนเป็นปีที่ 4 ซึ่งผลจากการพัฒนาโครงการนี้ทำให้บริษัทได้เข้ารับรางวัล Good Company Global Awards จาก Mr. Tsuyoshi Nagano President and Group CEO, Tokio Marine Holdings ณ สำนักงานใหญ่ อาคารโตเกียวมารีน นิชิโดะ ฮอนกัน กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น สะท้อนผลการทำงานให้เห็นถึงการสอดรับนโยบายของการสร้างบริษัทให้เป็น Good Company ด้วยการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้ว่ากลุ่มโตเกียวมารีน มุ่งมั่นและจริงจังในการเสริมสร้างและพัฒนาสังคมไทยให้มั่นคง และบริษัทจะรักษาพันธสัญญาที่ได้ให้ไว้กับลูกค้า ด้วยการส่งมอบบริการที่มีคุณภาพสูง นั่นคือหลักประกันความมั่นคง อุ่นใจในชีวิตสืบต่อไปในอนาคตอย่างยั่งยืน.
เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้แล้ววันนี้!....
ทีมงาน INN WHY? รายการเพื่อผู้บริโภค ร่วมปฏิวัติความคิด ปรับเปลี่ยนชีวิต ก้าวสู่ความมั่นคง หลังเกษียณ
ติดตามเราได้ที่ไลน์แอด @INNWHY.TV หรือ Facebook.com/INNWHY.TV และ Youtube.com/c/innwhy
Contact us : INNWHY31@gmail.com