เบี้ยประกันชีวิตรับรวม ณ สิ้นเดือน ก.ค.60 เติบโต 6.40%

นายพิชา สิริโยธิน  ผู้อำนวยการบริหารสมาคมประกันชีวิตไทย  เปิดเผยว่า ธุรกิจประกันชีวิตมีเบี้ยประกันชีวิตรับรวม ตั้งแต่เดือนมกราคม – กรกฎาคม 2560 รวมทั้งสิ้น 342,535.89 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.40 โดยแยกเป็นเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่จำนวน 94,285.65 ล้านบาท ประกอบด้วย (1) เบี้ยประกันชีวิตรับปีแรก จำนวน 57,182.96 ล้านบาท และ (2) เบี้ยประกันชีวิตรับจ่ายครั้งเดียวจำนวน 37,102.69 ล้านบาท  และเบี้ยประกันชีวิตรับปีต่อไปจำนวน 248,250.24 ล้านบาท โดยมีอัตราความคงอยู่ร้อยละ 83

ผู้อำนวยการบริหารสมาคมประกันชีวิตไทย  กล่าวเพิ่มเติมว่า การประกันชีวิตเป็นสิ่งที่จำเป็น มีความสำคัญ และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตในปัจจุบัน เพราะช่วยบรรเทาหรือลดภาระทางการเงินหากเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้นกับผู้เอาประกันภัยได้ เช่น การได้รับการชดเชยค่ารักษาพยาบาลกรณีต้องเข้ารับการรักษาในฐานะผู้ป่วยใน ไม่ว่าจะเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือจากอุบัติเหตุก็ตาม แน่นอนว่าค่ารักษาพยาบาลในปัจจุบันและอนาคตมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะส่งผลกับการบริหารทางการเงินของตนเองและครอบครัวได้ รวมถึงช่วยแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจให้แก่ครอบครัวในภาวะคับขัน เมื่อสมาชิกในครอบครัวต้องประสบกับการเจ็บป่วย ทุพพลภาพ หรือหมดความสามารถในการหารายได้เนื่องจากชราภาพ หรือเสียชีวิต กรมธรรม์ประกันชีวิตจะเป็นเสมือนทรัพย์สินที่นับวันจะพอกพูนขึ้นตามกาลเวลาที่ผ่านพ้นไป ซึ่งช่วยให้ครอบครัวมีความมั่นคง และเมื่อครอบครัวมีความมั่นคง ประเทศชาติก็ย่อมจะมีความมั่นคงตามไปด้วย สมาคมประกันชีวิตไทยจึงได้มีนโยบายพัฒนาสื่อประชาสัมพันธ์/สื่อความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของการประกันชีวิตให้มีรูปแบบที่หลากหลาย ผ่านสื่อช่องทางต่างๆ โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มประชาชนแต่ละกลุ่มได้ง่ายและเหมาะสม

สมาคมประกันชีวิตไทยขอเชิญชวนให้ประชาชนทุกท่านทำประกันชีวิตอย่างน้อยคนละ 1 ฉบับ เพื่อความมั่นคงในชีวิต ซึ่งขณะนี้คนไทยมีอัตราการถือครองกรมธรรม์เพียงร้อยละ 37 เท่านั้น ซึ่งถือว่ายังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือสิงคโปร์ โดยก่อนการซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตทุกครั้ง ท่านจะต้องขอดูใบอนุญาตการเป็นตัวแทนประกันชีวิตหรือนายหน้าประกันชีวิตเพื่อที่จะได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ และควรเลือกแบบประกันชีวิตโดยพิจารณาจากความสามารถในการชำระเบี้ยประกันภัย ให้เหมาะสมกับรายได้และรายจ่ายของตนเอง เนื่องจากการจ่ายค่าเบี้ยฯ เป็นการจ่ายที่ต้องอาศัยความอดทน และมีวินัยมากพอสมควร จึงจะสามารถชำระค่าเบี้ยฯ จนครบกำหนดตามสัญญาได้ เพราะถ้ายกเลิกการชำระเบี้ยฯ ก่อนเวลาที่สัญญากำหนด จะทำให้เกิดผลเสียแก่ผู้เอาประกันภัย และหากจะทำสัญญาประกันชีวิตฉบับใหม่จะต้องจ่ายเบี้ยฯ ที่แพงขึ้น ตามอายุที่มากขึ้น และอย่าลืมอ่านรายละเอียดของกรมธรรม์ประกันชีวิต เงื่อนไขต่างๆ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อข้องใจกับตัวแทนประกันชีวิต หรือบริษัทที่ทำประกันได้ทันที

 

 

เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้แล้ววันนี้!....