• “นุสรา”นั่งนายกส.ประกันชีวิตฯต่ออีกสมัย

เผยธุรกิจประกันชีวิตครึ่งปีแรกโต 5.01%

นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ ได้รับเลือกจากคณะกรรมการบริหารสมคมประกันชีวิตไทย ประจำปีบริหาร 2561-2563 ให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมประกันชีวิตไทยต่ออีกสมัย พร้อมเปิดเผยว่า  ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 ธุรกิจประกันชีวิตไทย มีเบี้ยประกันชีวิตรับรวมทั้งสิ้น 312,530.24 ล้านบาท โตเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.01 แยกเป็นเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่จำนวน 89,970.03 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 8.47 และเบี้ยประกันชีวิตรับปีต่อไปจำนวน 222,560.22 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 3.68 อัตราความคงอยู่ร้อยละ 84

โดยเบี้ยประกันชีวิตรายใหม่ประกอบด้วย (1) เบี้ยประกันชีวิตปีแรก มีจำนวน 46,347.39 ล้านบาท (2) เบี้ยประกันชีวิตจ่ายครั้งเดียว จำนวน 43,622.63 ล้านบาท ซึ่งมาจากช่องทางธนาคารเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยสัดส่วนร้อยละ 48.39 โดยมีเบี้ยประกันชีวิตรับรวม 151,236.67 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 6.13 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการออกกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบจ่ายครั้งเดียว (Single Premium) ที่ขายผ่านช่องทางธนาคารมีการขายมากเป็นพิเศษ รองลงมาคือช่องทางตัวแทนประกันชีวิต สัดส่วนร้อยละ 44.61 มีเบี้ยประกันชีวิตรับรวม 139,415.18 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 2.35 อันดับสาม การขายผ่านช่องทางอื่นๆ เช่น โบรกเกอร์ , ระบบอินเตอร์เน็ต , เคาน์เตอร์เซอร์วิส หรือเดินเข้ามาซื้อด้วยตัวเอง สัดส่วนร้อยละ 4.74 มีเบี้ยประกันชีวิตรับรวม 14,827.25 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 34.01 และอันดับสี่ การขายผ่านช่องทางการตลาดแบบตรง สัดส่วนร้อยละ 2.26 มีเบี้ยประกันชีวิตรับรวม 7,051.13 ล้านบาท เติบโตลดลงร้อยละ 10.04

ธุรกิจประกันชีวิตตั้งเป้าหมายการเติบโตของเบี้ยประกันชีวิตรับรวมปี 2561 ที่ร้อยละ 4-6 ตามที่คาดการไว้เมื่อต้นปี ซึ่งภาคธุรกิจยังคงยืนยันว่าในครึ่งปีหลัง กรกฎาคม – ธันวาคม 2561 จะสามารถเติบโตได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ เนื่องมาจากสภาวะเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับอัตราการถือครองกรมธรรม์ประกันชีวิตในประเทศไทยในปี 2560 อยู่ที่ประมาณร้อยละ 39 แสดงให้เห็นว่าตลาดประกันชีวิตในประเทศไทยยังสามารถเติบโตได้อีกมาก อีกทั้งยังมีปัจจัยสนับสนุนจากภาครัฐที่มีนโยบายกระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการมีความคุ้มครองและการวางแผนการเงินเพื่อรองรับการใช้ชีวิตหลังเกษียณ

โดย 5 ปีที่ผ่านมา เบี้ยประกันภัยจากผลิตภัณฑ์ควบการลงทุนในปี 2560 เพิ่มสูงขึ้นกว่า 300% เมื่อเทียบกับปี 2556 หากพิจารณาเฉพาะ Unit-Linked เติบโตสูงเกือบ 4,000%

นอกจากนี้กรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญหรือเงินได้ประจำ (Annuity) ก็มีความจำเป็นสำหรับการวางแผนเพื่อรองรับการใช้ชีวิตหลังเกษียณ รวมถึงการวางแผนสุขภาพผ่านผลิตภัณฑ์ “สัญญาเพิ่มเติมการประกันสุขภาพ” และ “สัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรง” ซึ่งตอบโจทย์ลูกค้าในยุคปัจจุบัน ที่ต้องการตัดความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยคาดว่าอีกประมาณ 5 ปีข้างหน้า ค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนจะเพิ่มสูงขึ้น 15-20% ซึ่งภาครัฐได้ให้ความสำคัญกับการดูแลสวัสดิการในส่วนนี้ จึงมีมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการประกันสุขภาพ โดยสามารถนำค่าเบี้ยประกันสุขภาพ มาหักเป็นค่าลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท

สุดท้ายคือผลิตภัณฑ์สำหรับจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ที่ตอบโจทย์สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) และตอบสนองกลุ่ม Gen M หรือ Millennials ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เติบโตพร้อมกับการพัฒนาของออนไลน์และเทคโนโลยี ใช้ Social Media ทุกวัน และเป็นกลุ่มที่ทำการซื้อสินค้าออนไลน์มากที่สุด

อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจยังคงมีปัจจัยที่ท้าทายและต้องขานรับต่อการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ต่างๆ อาทิ กรอบการดํารงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (RBC2) การยกระดับมาตรฐานพฤติกรรมทางการตลาดของระบบประกันชีวิต Market Conduct การยกร่างประกาศ เรื่องกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทประกันชีวิตและการปฏิบัติหน้าที่ของตัวแทนประกันชีวิต นายหน้าประกันชีวิตและธนาคาร พ.ศ. 2561 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการกำกับดูแลส่งเสริมให้กระบวนการขายผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการประเมินภาคการเงินตามโครงการ FSAP ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561

ตลอดจนการเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับมาตรฐานการบัญชีฉบับใหม่ เพื่อยกระดับมาตรฐานการรายงานทางเงินของไทยให้ทัดเทียมกับมาตรฐานสากล จำนวน 2 ฉบับ คือ มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 เรื่อง เครื่องมือทางการเงิน (IFRS 9) จากเดิมที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในประเทศไทยในปี 2562 ซึ่งปัจจุบัน คณะกรรมการกำกับดูแลการประกอบวิชาชีพบัญชี (กกบ.) เลื่อนเวลาการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี IFRS9 ออกไปอีก 1 ปี เป็นเดือนมกราคม 2563 และมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 17 เรื่องการวัดมูลค่าหนี้สิน การรับรู้รายได้ และการเปิดเผยข้อมูล (IFRS 17) เริ่มมีผลบังคับใช้ในประเทศไทยในปี 2565

ดังนั้น การปรับตัวเพื่อรองรับกับมาตรฐานการรายงานทางเงินฉบับใหม่ จึงเป็นความท้าท้ายอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจประกันชีวิตไทย จำเป็นที่ภาคธุรกิจจะต้องมีการเตรียมความพร้อมทั้งในเรื่องของการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความสามารถที่จะนำไปใช้ได้จริงก่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด

อีกทั้งยังมีการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยความท้าทายของธุรกิจประกันชีวิตในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ส่งผลให้ธุรกิจต้องมีการปรับตัวให้ทันตามการเปลี่ยนแปลงที่รุดหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ที่เข้ามาปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต การประกอบธุรกิจและเศรษฐกิจของโลกให้เปลี่ยนแปลงไป หลายๆ สิ่งถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีโฉมใหม่ที่สะดวกสบายกว่า รวดเร็วกว่า แม่นยำกว่า และสามารถใช้ได้ทุกที่ทุกเวลา

เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้แล้ววันนี้!....