“โรคอ้วน” นำมาซึ่งความเสี่ยงกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NDCs) ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด และโรคมะเร็ง และนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสูงขึ้น

แต่ทั้งนี้ทุกคนสามารถมีสุขภาพดีก่อนไปถึงโรคอ้วนได้เช่นกัน วันนี้  INNWhy สื่อประกันภัยออนไลน์ ขอนำเนื้อหาสาระการดูแลสุขภาพดีแบบง่ายๆ จาก โค้ชด้านการดูแลสุขภาพชื่อดัง “มิกกี้ – นนท์ อัลภาชน์ ณ ป้อมเพชร” ในงานกิจกรรม “AIA One Billion Media Challenge Workshop”  พร้อมแชร์ Tips & Tricks ให้ทุกคนสุขภาพดีไปด้วยกันทั้ง 3 ด้าน คือ Eat-กิน   Exercise -ออกกำลังกาย  และ Mental Health – สุขภาพจิตดี มาฝากกัน

อัพเดทเทรนด์สุขภาพ 9 ปีคนไทยเป็นโรคอ้วน 9%

โค้ช มิกกี้ อัพเดทเทรนด์สุขภาพว่า ปัจจุบันคนไทยมีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐานไปทางค่อนข้างสูง หรือเรียกว่า ภาวะโรคอ้วน (obesity) ติดอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South East Asia) เพิ่มขึ้นประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ในปี 1995  เป็น 35% ในปี 2009 ผ่านไป 9 ปี เพิ่มขึ้น 9 เปอร์เซ็นต์ เรียกว่าเพิ่มขึ้นปีละ 1% หากเทียบจำนวนประชากรรวม 60 กว่าล้านคน ถือว่าเยอะมากโดยสาเหตุหลักส่วนใหญ่เกิดจาก 3 ปัจจัยด้วยกันคือ 

1.การเลือกประเภทอาหารไม่ค่อยดีหรือการเลือกอาหารที่ให้พลังงานสูงแต่ให้สารอาหารน้อยทำให้รับประทานอาหารไม่อิ่มท้องต้องรับประทานมากกว่าปกตินำมาซึ่งความกังวลของการมีสุขภาพไม่ดี

2.มีภาวะความเครียดจากหลายปัจจัยรวมกัน เช่น มีอาการเจ็บป่วย เครียดจากการทำงาน เครียดจากครอบครัว เป็นต้น  มื่อเกิดความเครียดจะทำให้รู้สึกว่าไม่ค่อยอยากขยับร่างกาย ไม่อยากเดิน อยากนั่งเฉยๆ อยากนั่งคิดอย่างเดียว อาการเหล่านี้ยิ่งทำให้การเผาผลาญพลังงานได้น้อยลงส่งผลให้เกิด

3.โรคอ้วน (obesity) มีน้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์ค่อนข้างมาก

ซึ่งโค้ช มิกกี้ กล่าวว่า ทั้ง 3 ข้อนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ประชากรไทยเป็นความกังวลมากที่สุด แต่การดูแลสุขภาพให้มีสุขภาพที่ดีอย่างยืนยาวและมีคุณภาพมี 4 เสาหลักประกอบกัน คือ

1.การออกกำลังกายหรือขยับร่างกาย 

2.การรับประทานอาหาร 

3.การพักผ่อนฟื้นฟูร่างกาย

4.mindset หรือความคิดของเรา 

เมื่อเรามองทั้ง 4 เสาหลักนี้แล้วปฏิบัติตามเราจะได้ไลฟ์สไตล์ที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น และถ้าจะให้ดีและประสบความสำเร็จในระยะยาวต้องปฏิบัติให้ครบทั้ง 4 ข้อ ซึ่ง โค้ชมิกกี้ มีข้อแนะนำและวิธีการทำให้มีสุขภาพดีแบบง่ายๆ หากนำไปปรับใช้เชื่อว่าจะมีสุขภาพดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

 สำหรับ Tips & Tricks ให้ทุกคนสุขภาพดีไปด้วยกันทั้ง 3 ด้าน คือ Eat-กิน   Exercise -ออกกำลังกาย  และ Mental Health – สุขภาพจิตดี  โค้ชมิกกี้ เริ่มที่ โภชนาการ  โดยโค้ชกล่าวว่า หลายคนใช้การโภชนาการ เป็นเครื่องมือในการลดไขมัน ลดความอ้วน หรือเป็นเครื่องมือในการทำให้ตัวเองมีความสุขในการทำอาหารที่อยากทาน

แต่ความจริงแล้วโภชนาการคือ เครื่องมือที่ช่วยทำให้ร่างกาย สมอง จิตใจ ของเรามีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ในการทำงานต่างๆ เช่น วันนี้มีประชุม  ตอนเช้าจะทานอะไรเพื่อให้ร่างกายสามารถประชุมได้อย่างเต็มที่  สมองแล่นเต็มที่ เพราะทุกครั้งที่เราทานอาหารมันคือโอกาสในการเติมเต็มทั้งร่างกายและ จิตใจ ให้ทำงานได้อย่างเต็มที่

สำหรับ โภชนาการ แบ่งออกเป็น 4 อย่าง คือ การเสริมสร้าง การให้พลังงาน การป้องกัน และการปกป้อง

1.การให้พลังงาน : เลือกรับประทานคาร์โบไฮเดรตหรือแป้ง

เพราะคาร์โบไฮเดรตหรือแป้งเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกายและสมองของเรา   หลายคนอาจรู้สึกว่าคาร์โบไฮเดรตทำให้มีไขมันเพิ่มมากขึ้น หรือทานไปแล้วทำให้รู้สึกว่าอ้วนขึ้น ถ้าต้องการไดเอ็ท มักตัดคาร์โบไฮเดรตออกไป ซึ่งความจริงแล้วคาร์โบไฮเดรตไม่ใช่ตัวร้าย เป็นเพียงแค่อาหารส่วนมากที่เรารับประทานนั้นมีคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป  อาหารแต่ละมื้อหลายอย่างก็มีแต่คาร์โบไฮเดรต

แต่จริงแล้วคาร์โบไฮเดรตสำคัญมากต่อร่างกายและสมองโดยเฉพาะคนที่ออกกำลังกายขนาดหนัก ทำงานหนัก สำคัญกับการให้พลังงานกับเรามากๆ ซึ่งมีวิธีเลือกดังนี้

วิธีการเลือกคาร์โบไฮเดรต

อันดับแรก เลือกคาร์โบไฮเดรตที่แปรรูปน้อยหรือไม่ได้แปรรูป เพราะทำให้ได้แร่ธาตุและวิตามินอื่นๆตามมาด้วย เช่น กากใย หรือเลือกคาร์โบไฮเดรตที่เป็นโฮลเกรน (Whole Grains) เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮเกรน ข้าวโอ๊ตต่างๆ  เป็นต้น

หรือเวลาเลือกซื้ออาหารแปรรูปให้ดูความสำคัญของคาร์โบไฮเดรต ยิ่งเป็นสีน้ำตาลยิ่งค่อนข้างใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด เช่น ซีเรียล   กราโนร่า ให้สังเกตด้านหลังบรรจุภัณฑ์ระบุโภชนาการ 1/1000 เท่ากับว่ามีกากใยประมาณ 3 กรัม เป็นอย่างน้อย ส่วนอาหารแปรรูปมากๆ เช่น ขนม มันฝรั่งทอดแบบนี้คือแปรรูปมาแล้ว ให้เลือกทานในปริมาณที่เหมาะสม

การเสริมสร้าง : รับประทานโปรตีนเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

หลังได้พลังงานมาแล้วลำดับต่อมาจะนึกถึงโปรตีน เพราะโปรตีนเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ช่วยเฉพาะกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายของเราด้วย  เวลาเราไม่สบาย การทานโปรตีนจะช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันของเรากลับมาอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน 

แต่ถ้าทานโปรตีนมากเกินกว่าร่างกายเผาผลาญก็ทำให้อ้วนได้ ควรเลือกโปรตีนที่ไม่มีไขมันหรือไขมันน้อย เช่น ปลาที่มีไขมันน้อย, ไก่, ไข่,หมู, เนื้อ โดยธรรมชาติเนื้อจะมีปริมาณไขมันในตัวอยู่แล้ว ให้พลังงานค่อนข้างสูง แนะนำการทานโปรตีนในแต่ละวันควรทานให้ได้ 1.4-2.0 กรัมโปรตีนต่อน้ำหนักตัว  และหลีกเลี่ยงของทอด

โค้ชมิกกี้ แนะนำเลี่ยงรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูงจะเสี่ยงกับความอ้วนได้ง่าย เพราะโดยธรรมชาติของไขมัน 1 กรัม ให้ 9 แคลลอรี่ เมื่อเทียบกับโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตที่ 1 กรัมจะมีแค่ 4 แคลลอรี่ โดยอาหารที่มีไขมันจะให้พลังงานจะสูง เช่น ปลาแซลมอนมีไขมันน้อย ให้พลังงานสูง มีประโยชน์แต่ทานเยอะก็อ้วนได้ ถั่ว ให้พลังงานสูง กินมากไปก็อ้วน แต่ในถั่วมีไขมันดีจะช่วยให้ร่างกายหลายๆส่วน เช่น ข้อต่อ อวัยวะภายใน ผิวหนัง เส้นผม รวมถึงการดูดซึมของวิตามิน A B E K 4 ตัว จะช่วยให้ร่างกายของเราค่อยๆปล่อยพลังงานออกมา

หมายความว่า ระบบต่างๆในร่างกายจะคงที่มากขึ้น ระดับน้ำตาลในเลือดจะคงที่ ช่วยทำให้หิวน้อยลงเพราะทำให้อิ่มท้อง และเลี่ยงการทานอาหารที่ให้ไขมันสูงก่อนออกกำลังกาย เพราะจะทำให้อิ่มท้อง อืดมากเกินไป พยายามเลือกไขมันที่ไม่อิ่มตัวหาได้จาก โอเมก้า3 จากปลาแซลมอน อะโวคาโด ถั่วต่างๆ  จะช่วยในเรื่องของสมอง ความจำ  ความคิด อาการหลงๆลืมๆ เมื่อทานไขมันที่ดีก็จะช่วยได้

การป้องกัน : เลือกรับประทานผักผลไม้

ผักและผลไม้ เพราะ มีแร่ธาตุ วิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยซ่อมแซมร่างกายของเรา ยิ่งทานมากร่างกายของเราก็จะมีตัวช่วยซ่อมแซมร่างกายของเราได้ดีขึ้น ในแต่ละมื้อ แนะนำให้ทานอย่างน้อย 3 สีต่อมื้อ เพราะแต่ละสีให้ประโยชน์และสารอาหารที่แตกต่างกันจะช่วยซ่อมแซมร่างกายแตกต่างกัน

เช่น สีแดง  ช่วยเรื่องระบบหัวใจ สีน้ำเงิน สีม่วง ช่วยเรื่องระบบหมุนเวียน สีเหลืองช่วยเรื่องการย่อย ระบบขับถ่าย สีเขียว ช่วยเรื่องสายตาหรือกระดูกและฟัน  สีส้ม ช่วยเรื่องภูมิต้านทาน ดังนั้นถ้าเราเลือกรับประทานแต่เดิมๆ เช่น สีส้ม แต่ลืมว่า สีแดง ช่วยระบบหัวใจ สีเหลือง ช่วย ระบบขับถ่าย เราก็อาจจะไม่ได้ 

วิธีเลือกรับประทานอาหาร

เพราะปริมาณเป็นเรื่องสำคัญอะไรที่ทานมากเกินไปทำให้อ้วนได้  ถ้าปรับมาเป็นไม่ทานมาก  โปรตีน จะช่วยทำให้อิ่ม กากใยจากผลไม้ ทำให้อิ่ม คาร์โบไฮเดรตที่แปรรูปน้อย ทำให้ร่างกายแปรรูปมากขึ้นจะยิ่งทำให้อิ่มมากขึ้น ส่วนไขมันทำให้อิ่ม ช่วยทำให้ระดับไขมันในร่างกายของเราอิ่มตัวมากขึ้น 

การรับประทานอาหารให้พยายาม ดูในแต่ละมื้อมีโปรตีนหรือยัง เช่น ไก่  ปลา หมู หรือถ้ามี สแนค มีโยเกิร์ตหรือยังเพื่อให้ได้โปรตีน รวมถึงดื่มน้ำเพียงพอหรือไม่ในแต่ละวัน หรือบางคนได้น้ำจากผัก ผลไม้

เทคนิคควบคุมการทานอาหารนอกบ้านและการรักษาสมดุลแบบง่ายๆ

โค้ช มิกกี้ กล่าวว่า บางคนออกไปทานอาหารนอกบ้านจะมีเทคนิคควบคุม อันดับแรกเลย ดื่มน้ำให้เพียงพอเวลาออกนอกบ้าน ควรมีกระติกน้ำติดตัวไว้ และปริมาณการดื่มน้ำสำหรับเพศชาย 3.75 ลิตร/วัน  ผู้หญิง 2.75 ลิตร/วัน หรือถ้าต้องการความแม่นยำมากขึ้นให้ใช้สูตร 0.065 ลิตร/วัน คูณกับน้ำหนักตัว

นอกจากนี้การรักษาสมดุลในการรับประทานอาหารโดยใช้สูตร  80/20 ( ไม่ใช่สัดส่วนอาหาร)  แต่ 80% คือ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ส่วน 20% เลือกรับประทานอาหารที่ร่างกายต้องการ อาหารที่เราอยากทาน เช่น  ทานโปรตีนที่ดี  ผัก ผลไม้ คาร์โบไฮเดรตที่ดี  ไขมันที่ดี  ส่วน 20% อยากทานขนม ทานได้ วิธีคำนวนง่ายคือ ถ้าให้พลังงาน 2,000  แคลลอรี่ ให้คูณด้วย 80% เราก็จะได้ประมาณ 1,600 แคลลอรี่

การออกกำลังกายหรือการขยับร่างกาย

ทุกคนอยู่ที่ไหนก็สามารถทำได้ ด้วยการขยับให้บ่อยแล้วก็ต้องขยับให้ดีด้วยการออกกำลังกายหรือการขยับร่างกายมี 2 อย่าง คือ

1.การออกกำลังกายหรือขยับร่างกาย ไม่มีแบบแผน เช่น การทำสวน การทำความสะอาดบ้าน

2.การออกกำลังกายหรือขยับร่างกายแบบมีแผน เช่น โยคะ วิ่ง ตีแบด ทำสวน พาสุนัขไปเดิน แต่ถ้าอยากมีคุณภาพชีวิตทีดี 

“การอุ้มลูกต้องบอกเลยว่าทำให้เราขยับร่างกายได้ดีขึ้น สังเกตจากทุกท่าที่ผมทำแล้วลูกจะทำตาม เท่ากับว่าหนึ่ง เราได้ปลูกฝังเขาไปทุกๆวัน สองแสดงให้เขาเห็นว่าการขยับร่างกายทุกๆวันเป็นสิ่งสำคัญ มากไปกว่านั้นการมีสุขภาพที่ดี เราจะได้มีชีวิตที่สมบูรณ์มีคุณภาพชีวิตที่ดีและอยู่กับเขาไปนานๆ” โค้ชมิกกี้กล่าว

โค้ชมิกกี้ย้ำว่า สิ่งที่อยากจะสื่อคือ ต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดีเมื่อเราอายุมากขึ้น สามารถทำกิจกรรมทุกอย่างที่เราอยากทำได้ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณกล้ามเนื้อที่พอดี ปริมาณไขมันที่ไม่มากเกินไป ไม่มีโรคภัย ไม่มีอาการเจ็บป่วยต่างๆ  ก็จะได้ทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนและสมบูรณ์

คำแนะนำ โดยทั่วไปต่อสัปดาห์ให้ออกกำลังกายแบบแอโรบิกเพื่อฝึกระบบหายใจของเรา ประมาณ 150 นาที/สัปดาห์ เฉลี่ย 30 นาทีต่อวัน  ถือเป็นการออกกำลังกายหนักปานกลาง  แต่ถ้ามีเวลาไม่นานมากนักให้ลดเวลาออกกำลังกายเหลือ 75 นาที แต่ความหนักต้องที่ระดับ 8-9 เราสามารถเลือกได้ว่า จะเลือกเวลาออกกำลังกายนานหรือเวลาน้อยแต่ออกกำลังหนักเพิ่ม หรือผสมกันเป็น 2 วันหนัก 2 วันเบาก็สามารถทำได้

ลำดับต่อมาคือออกกำลังกายเสริมกล้ามเนื้อ อย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์ เป็นสิ่งสำคัญมากเพราะการไม่มีกล้ามเนื้อจะส่งผลเสียต่อร่างการของเราเยอะมากช่วงบั้นปลายชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยงต่อการล้ม กระดูกพรุน ถ้าล้มแล้วกระดูกแตก นอนติดเตียงก็น้อยที่จะกลับมาเดินได้อย่างปกติ แต่ถ้าเรามีกล้ามเนื้อสามารถทำกิจกรรมต่างๆได้  เช่น เล่นกับลูก ไปซื้อของ ถ้าหกล้มจะมีตัวซัพพอร์ตร่างกายของเรา 

เคล็ดลับ ท่าออกกำลังกาย

โค้ชมิกกี้ แนะนำตัวอย่างท่าออกกำลังกาย ในหลายๆท่าที่ได้ทั้งเรื่องของการทรงตัว เรื่องของแกนกลาง เรื่องของระบบประสาทสัมผัส ซึ่งสามารถทำได้ทั้งระหว่างวัน ขณะทำงานหรืออยู่บ้าน

ท่าแรก ช่วยการฝึกกล้ามเนื้อช่วงขาด้านหลังและการทรงตัว ให้ยืนขาคู่กันประมาณหัวไหล่ จากนั้นให้โน้มตัวไปข้างหน้า งอสะโพกโดยที่ยังรักษาสมดุลร่างกายเอาไว้ และกางแขนออกเพื่อทรงตัวและก้มตัวลงไปให้ขนานกับพื้น จะรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังและก้นของเราเพราะเวลานั่งทำงานนานๆกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังขและก้นไม่ค่อยได้ทำงาน ก็จะช่วยให้ทำงานได้มากขึ้น ให้ทำทั้ง 2 ข้าง โดยเฉลี่ยแล้ว 15-20 ครั้ง ประมาณ 2-3 เซ็ต  

ถ้าทรงตัวไม่ได้มี 2 ปัจจัยคือ 1.กล้ามเนื้อไม่เพียงพอ 2.ต้องฝึกการทรงตัวให้มากขึ้น เพราะท่านี้ช่วยเสริมความแข็งแรงขอกล้ามเนื้อช่วงต้นขาด้านหลัง และความแข็งแรงของแกนกลางและช่วยทำให้มีความสมดุลและทรงตัวที่มากขึ้น

“ท่านี้ไม่สามารถช่วยลดไขมันต้นขาด้านหลังได้แม้ทำเป็นร้อยครั้งพันครั้งถ้าน้ำหนักไม่ลดลง ไขมันไม่ลดลง ไม่คุมอาหาร ไม่ออกกำลังกายส่วนอื่นๆยากที่จะลด เป้าหมายหลักคือ ทำให้พลังงานติดลบในแต่ละวันจากการคุมอาหารที่ทานเข้ามาและออกกำลังกายให้มากขึ้นและใช้ท่าเหล่านี้เป็นตัวช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแต่ละส่วน”

ท่าที่สอง ยืนตัวตรงด้วยขาข้างเดียว แล้วดึงขาอีกข้างขึ้นมากอดที่หน้าอก ท่านี้เป็นท่ายืดสามารถทำได้ทั้งแบบนอนและแบบยืน ช่วยในเรื่องของก้น เพราะเวลานั่งนานๆ เดินนานๆ ยืนนานๆ จะมีอาการตึง ท่านี้จะช่วยได้ และใครที่ไม่อยากพักเบรกระหว่างการทำงานสามารถทำช่วงเช้าตื่นมาก็ทำได้เลย และพักเบรกหรือหลังเลิกงานก็ทำได้อีก

ท่าที่สาม วางเท้ามาข้างหน้าและคุกเข่า ให้เข่างอประมาณ 90 องศา ทั้งขาด้านหน้าและด้านหลัง แล้วค่อยๆผลักก้นไปข้างหน้าแล้วดึงกลับมา เหมือนโยกไปข้างหน้า ข้างหลังแบบทั้งตัวและพยายามให้ลำตัวตรงแล้วดันไปข้างหน้าและค่อยกลับมา ถ้าไม่มีเสื่อโยคะ ใช้ผ้าขนหนูรองช่วงเข่าได้   หลายคนเจอปัญหาการตึงของสะโพกเพราะนั่งนานๆแล้วสะโพกงอตลอดเวลา ทำท่านี้ช่วยได้

ท่าที่สี่  ยืนลำตัวตรงแล้วค่อยๆย่อไปข้างหลังเหมือนถอนสายบัวแต่ไม่ต้องไขว้ขา  งอเข่าไปข้างหลัง 90 องศา สลับไปมาซ้าย ขวา  หัวเข่าตามปลายเท้า เชิดอกขึ้นมองข้างหน้า ลำตัวตรง แนะนำ 15-20 ครั้ง ถ้าไม่มีดัมเบลหรือเวทเพิ่มเติม ประมาณ 1-3 เซ็ต  อาจเริ่มต้นที่ 1 เซ็ตก่อนแล้วค่อยๆขยับขึ้นไป ท่านี้เป็นการเสริมความแข็งแรงมากขึ้น หลายคนทำไม่ได้เพราะเวลาใช้กล้ามเนื้อขาข้างเดียวเวลายืน  

ท่าที่ห้า ท่าเปิดสะบักไหล่ ให้ยืนขาคู่กันโน้มตัวไปข้างหน้า งอสะโพก เกร็งหน้าท้องไว้ สายตามองที่พื้น กระดูกสันหลังจะได้เป็นเส้นตรง  แล้วกางแขนออกเหมือนกางปีกเบาๆ ไม่กระพือ ท่านี้จะช่วยเปิดสะบักของเราเวลานั่งทำงานจะไหล่ห่อ ก็เปิดสะบักออกด้วยท่าแบบนี้ 

โค้ช มิกกี้ กล่าวว่า สิ่งที่อยากจะบอกถ้ามี 3 กลุ่ม 

กลุ่มหนึ่ง ไดเอ็ทหรือ อดอาหารอย่างเดียว 

กลุ่มสอง ออกกำลังกายอย่างเดียว

กลุ่มสาม ทำทั้ง 2 อย่าง คือ อดอาหารและออกกำลังกาย

แต่กลุ่มที่ดีคือ กลุ่มที่ทำทั้งสองอย่าง เพราะการไดเอ็ทแต่ไม่ออกกำลังกายเราได้เรื่องน้ำหนักแต่ไม่ได้เรื่องกล้ามเนื้อ   ส่วนกลุ่มที่ออกกำลังกายอย่างเดียวไม่ไดเอ็ทเลยจะต้องออกกำลังกายมาก เพราะฉะนั้นให้ทำทั้ง 2 อย่างควบคู่กัน

การฟื้นฟูและสภาพจิตใจ

การฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ เป็นการทำให้ร่างกายของเรากลับมาอยู่ในจุดเดิมให้มีความสมดุลมากขึ้นเพื่อมารีเซ็ตตัวเอง สามารถฟื้นฟูได้ทั้งทางกายและทางใจใน 2 วิธีหลักคือ 

วิธีแรกเป็นการทำแบบแอคทีฟ   เวลาออกกำลังกายหนักๆ รู้สึกเมื่อยตัว หลายคนพัก 2-3 วัน สามารถปรับมาเป็นฟื้นฟูแบบ Recovery เช่น ทำโยคะเบาๆ พาสุนัขเดิน ทำสวน ฯลฯ

หรือจะฟื้นฟูแบบเบาๆ เช่น นอน ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ  การทานอาหารเพราะทุกครั้งที่ทานอาหารเป็นโอกาสให้พลังงานที่ดีแก่ร่างกาย  จิตใจและสมองของเรา

โค้ชมิกกี้ ยกตัวอย่างทิ้งท้ายว่า บางคนที่มีไลฟ์สไตล์ไม่ดีกับสุขภาพของตัวเอง สภาพจิตใจจะ ฉุนเฉียว เครียดง่าย มีอะไรมากระทบจะรู้สึกว่าอารมณ์ไม่ดี ทำให้ควบคุมความเครียดต่างๆได้ยาก

แต่ถ้าคนนั้นกลับมาปรับพฤติกรรมดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีขึ้น  ทานอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น ออกกำลังกายมากขึ้น พักผ่อนเพียงพอ ก็จะช่วยให้สภาพจิตใจดีขึ้น มีรูปร่างที่ดีขึ้น สรีระดีขึ้น จะเกิดความรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น อารมณ์จะดีขึ้นตามมา  มีเรื่องอะไรมาจะตอบสนองได้ดีขึ้นเพราะความเครียดไม่ได้อยู่กับตัวมาก

หวังว่าข้อมูลการดูแลสุขภาพให้ดีที่นำมาฝากกันจะช่วยให้ทุกคนนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้กันนะคะ.

เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้แล้ววันนี้!....