จัดการพฤติกรรม “เสพติดหวาน” ง่ายๆ ด้วยวิธีดีท็อกซ์น้ำตาล 3 วัน

Credit Photo : www.bbcgoodfood.com

เพิ่มเพื่อน

“น้ำตาล” ถือว่าเป็นสิ่งที่เราบริโภคทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นความหวานแบบปรุงแต่งหรือหวานจากธรรมชาติ ขณะที่ประชากรในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะเป็น “โรคอ้วนและโรคเบาหวาน” มากขึ้นรวมไปถึงโรคอื่นๆ ที่มีสาเหตุมาจากการทานน้ำตาลทุกวัน

ดังนั้น การขับสารพิษเพื่อขจัดน้ำตาลออกจากร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะวิธีที่รู้ผลเร็วชัดเจน และง่ายต่อการทำตาม เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบัน

เว็บไซต์ power of positivity ได้อ้างถึงส่วนหนึ่งของผลการศึกษาของสมาคมการแพทย์ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร JAMA ของสหรัฐ ระบุว่า “การบริโภคน้ำตาลที่มากเกินความจำเป็นจะนำไปสู่การเสียชีวิตก่อนวัยอันควร” ซึ่งอธิบายว่าน้ำตาลสามารถทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคเบาหวาน และโรคอ้วน นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดโรคมะเร็ง โรคสมองเสื่อม โรคซึมเศร้า การเกิดสิวอักเสบ รวมถึงภาวะการมีลูกยาก

ทั้งนี้ การศึกษาดังกล่าวได้กล่าวยกตัวอย่างถึง “ชาวอเมริกัน” ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่บริโภคน้ำตาลมากเป็นลำดับต้นๆ ของโลก โดยเฉลี่ยประมาณ 152 ปอนด์ต่อปี หากเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้นในกลุ่มวัยทำงานถึงกลุ่มสูงอายุ จะบริโภคเฉลี่ยประมาณ 22 ช้อนชา ขณะที่เด็กๆ จะบริโภคประมาณวันละ 34 ช้อนชาหรือมากกว่านั้น หรือเท่ากับการดื่มน้ำอัดลมขนาด 20 ออนซ์ 2 ขวดต่อวันทีเดียว

ดังนั้น วิธีที่ทีมแพทย์และนักโภคชนาการทำการทดสอบก็คือ “การดีท็อกซ์น้ำตาล 3 วัน” โดยกล่าวว่า ช่วงเวลา 3 วันของการงดทานน้ำตาลแบบ 100% เป็นช่วงสั้นๆ แต่ทรมานมากที่สุดสำหรับมนุษย์ แต่การ “หักดิบ” จะช่วยฟื้นฟูสารสื่อประสาทและฮอร์โมนในร่างกาย อันนำไปสู่การสร้างความคุ้นชินในร่างกายเราในที่สุด โดยโปรแกรมการหักดิบจะครอบคลุมตั้งแต่การหยุดบริโภคน้ำตาลทุกรูปแบบ ผลิตภัณฑ์จากแป้ง และสารให้ความหวานเทียม

ทั้งนี้ ทีมแพทย์ได้ทดลองกับกลุ่มเพศหญิงและชาย อายุตั้งแต่ 20-45 ปี จำนวน 100 คน โดยควบคุมการทานน้ำตาลทุกรูปแบบ และเลือกอาหารที่มีสารอาหารมากๆ เพื่อความอิ่มระยะยาว สำหรับพืชผักต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสมเท่านั้น เช่น ใบผักสีเขียวในตระกูลบร็อคโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง ถั่วเขียว เห็ด หัวหอม มะเขือเทศ มะเขือยาว และพริกชี้ฟ้า เพราะเต็มไปด้วยแป้งซึ่งจะทำปฏิกิริยาให้กลายเป็นน้ำตาลได้ ส่วนผลไม้ต้องทานเฉพาะ “ผลไม้ตระกูลเบอรรี่” ที่ให้ความหวานน้อยมาก และรับประทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมันเท่านั้น

ในรายงานระบุด้วยว่า ไม่ใช่ไขมันทุกตัวที่ทำให้เกิดภาวะน้ำหนักตัวเกิน หรือเป็นโรคอ้วน แต่มันทำให้เรารู้สึกอิ่มท้องเท่านั้น ดังนั้น เราจำเป็นต้องปรับสมดุลน้ำตาลในกระแสเลือด บริโภคไขมันดีต่างๆ เช่น น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ เนยมะพร้าว อโวคาโด และกรดน้ำมันโอเมก้า 3เป็นต้น

ตัวอย่างโปรแกรม 1 วันที่ทางนักโภชนาการใช้ในการทดสอบ ก็คือ “มื้อเช้า” ข้าวโอ๊ตบด 1-2 ถ้วย, ถั่ว ธัญพืช หรือผลไม้ประเภทเบอรรี่ และไข่ 3 ฟอง (กวนหรือต้มเท่านั้น)

“ขนมยามว่างหลังมื้อเช้า” ถั่ว 1-3 เม็ดเท่านั้น สำหรับ “มื้อกลางวัน” น่องไก่นึ่งหรือต้ม เสิร์ฟพร้อมกับผักใบสีเขียว และมันฝรั่งหวาน ส่วน “มื้อเย็น” ปลาแซลมอน เสิร์ฟพร้อมกับผักใบสีเขียว 1-2 จาน

ผลการทดสอบหลังจาก 3 วันพบว่า ผู้ทดสอบเกือบ 100% ไม่รู้สึกว่ากระหายหรือต้องทานน้ำตาลหรืออาหารที่มีรสชาติหวานมากขึ้น รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและสดชื่น ที่สำคัญเพียงระยะเวลา 3 วันที่ทำการทดสอบ น้ำหนักตัวลดลง 1-5 กิโลกรัมโดยเฉลี่ย อันที่จริงวิธีการดีท็อกซ์แบบนี้อาจจะไม่ได้ใหม่มากในไทย แต่ก็มีน้อยคนมากที่จะทำตามและส่วนใหญ่จะเลือกวิธีดีท็อกซ์แบบ 10 วันขึ้นไป

อย่างไรก็ดีการทำความสะอาดลำไส้นอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิต้านทานดีเยี่ยม ยังทำให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายทำงานได้ดีเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งในปัจจุบันมีอาหารและเครื่องดื่มจำนวนมากที่ทำให้คนไทยส่วนหนึ่งกลายเป็น “คนเสพติดความหวาน” หากเราเลือกและใช้การดีท็อกซ์ในระยะสั้นและถูกต้อง อย่างน้อยๆ ก็ช่วยบูตระบบให้เข้าที่เข้าทางได้มากขึ้น

เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้แล้ววันนี้!....