ส.นักวิเคราะห์ คาด ดัชนี SET ปลายปีแตะ 1,679 จุด ศก.USA-EU ยังบวก ชู 5 หุ้นเด่น AOT BBL CPF PTT PTTEP
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิ การสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน แถลงผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองในด้านการลงทุนและคาดการณ์ทิศทางดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) ในปี 2563 นี้ โดยครั้งนี้มีผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด 26 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์จำนวน 19 บริษัท บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจำนวน 5 บริษัท บริษัทโกลด์ ฟิวส์เจอร์ส 2 บริษัท ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนร้อยละ 73.08 มองว่าดัชนีราคาหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่1 มีแนวโน้มไปในทิศทางบวก ในขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 15.38 มองไปในในทิศทางSideways หรือไม่เปลี่ยนแปลงไปมากจากสิ้นปี 2562 และร้อยละ 11.54 มองว่าตลาดจะเปลี่ยนแปลงในทิศทางลบ
สำหรับจุดสูงสุดของ SET Index ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 เฉลี่ยที่ระดับ 1,641 จุด ทั้งนี้มีผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 58.82 ที่คาดว่าดัชนีจะทำจุดสูงสุด 1,601 – 1,650 จุด และมีผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 23.53 ที่คาดว่าจุดสูงสุดจะอยู่ในช่วง 1,651 – 1,700 ตามลำดับ เมื่อมองจุดต่ำสุดของปี 2563 นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนคาดการณ์จุดต่ำสุดของดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) ไตรมาสที่ 1 มีค่าเฉลี่ยจุดต่ำสุด ที่ 1,537 จุด
ส่วนปัจจัยที่จะส่งผลในด้านลบต่อตลาดทุนไทยในปี 2563 ได้แก่ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจภายในประเทศ รองลงมา คือปัจจัยด้านการเมืองในประเทศ และปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีเสียงโหวตเกิน 50% ขึ้นไป
เป็นที่น่าสังเกตุ ทิศทาง Fund Flows จากต่างประเทศนั้นไม่มีผลมากนักต่อทิศทางราคาหุ้นในช่วงปีนี้ โดยมีผู้ตอบเพียง 30.77 % ที่มองว่าจะเป็นผลบวก และมีผู้ตอบ 42.31 % ที่มองแย้งว่าจะเป็นผลลบ
สำหรับปัจจัยที่มีผลบวกต่อดัชนีราคาหุ้นไทยในปี 2563 ได้แก่ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจต่างประเทศทั้ง อเมริกา ยุโรป เอเชีย ผู้ตอบแบบสำรวจ 73.08% เทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลบวก รองลงมาผู้ตอบ 50 % คาดว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา (FED) และตัวเลขผู้ตอบ 50% เท่ากันที่ตอบว่าได้ผลบวกจากผลประกอบการของ บจ. ส่วนปัจจัยอื่นๆ ไม่มีปัจจัยใดที่มีผู้ตอบถึง 50% ที่ระบุว่าเป็นบวก
สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ได้สอบถามความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับ ข้อเสนอแนะว่าภาครัฐควรเร่งนโยบายเรื่องใดที่มีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ ได้ข้อสรุปว่า อันดับแรก คือ นโยบายกระตุ้นการลงทุนภาครัฐและเอกชน มีผู้ตอบ ร้อยละ 27.27 รองลงมา คือ เร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ร้อยละ 22.73 และ กระตุ้นการบริโภค/ใช้จ่าย ร้อยละ 18.18 ตามลำดับ
รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำโดยมีจำนวนสำนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป มีดังนี้ (เรียงชื่อตามอักษรย่อ)
1.AOT โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก การเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย และอาคารเทียบเครื่องบินรองจะแล้วเสร็จในปี 2563 จะทำให้ AOT สามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนประเด็นความกังวลต่อโอกาสที่ AOT จะถูกเรียกเก็บเงิน 10% จากส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมผู้โดยสารขาออก เพื่อเข้ากองทุนหมุนเวียนของกรมท่าอากาศยาน เพื่อนำไปพัฒนาศักยภาพสนามบินภูมิภาคในประเทศไทย 29 แห่ง เป็นปัจจัยลบในระยะสั้นเท่านั้น โดยนักวิเคราะห์คาดว่าอาจมีการเรียกเก็บจริงต่ำกว่าระดับ 10% และจะส่งผลดีต่อคุณภาพและการให้บริการของสนามบินไทยในอนาคต
2.BBL ประเด็นสนับสนุนจาก ราคาปัจจุบันอยู่ต่ำเพียง 0.7 เท่าของ Book Value และมีระดับ Dividend Yield สูง นอกจากนั้นการไปลงทุนในธนาคาร Permata ที่อินโดนีเซีย จะมีโอกาสทางธุรกิจธนาคารในอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตสูง
3.CPF มีประเด็นสนับสนุนจาก ภาวะธุรกิจในปี 2563 จะดีขึ้น เนื่องจากราคาขายเนื้อหมูมีแนวโน้มที่ดีขึ้นทั้งจีนและเวียดนาม เมื่อเทียบกับปี 2562 โดยคาดว่าจะได้ประโยชน์ 1-2 ปี กว่าที่ซัพพลายหมูจะกลับเข้าสู่ภาวะปกตินอกจากนี้ CPF หันมาให้ความสนใจด้าน Delivery Service มากขึ้น ซึ่งเป็นความสามารถที่บริษัทพัฒนาได้ ทำให้สามารถควบคุมต้นทุน Logistic ได้
4.PTT โดยมีปัจจัยหนุนจากทิศทางราคาพลังงานสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดปัญหาใหญ่จากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับอิหร่าน นอกจากนั้นการที่บริษัทได้เข้าร่วมประมูลโครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะ 3 หากบริษัทชนะประมูลถือเป็นข่าวดีที่จะช่วยหนุนราคาหุ้น ทั้งยังจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยให้ Dividend Yield ราว 4% ต่อปี
5.PTTEP โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากทิศทางราคาพลังงานสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดปัญหาใหญ่จากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับอิหร่าน แนวโน้มการดำเนินงานปี 2563 คาดว่ายังดีต่อเนื่องจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นหลังการรวมสินทรัพย์ใหม่ที่ซื้อมาเมื่อปี 2562 ทั้ง Murphy และ Partex เข้ามา และบริษัทมีแผนลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจเดิมโดยเฉพาะโครงการ Gas to power ในพม่าเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แหล่งก๊าซธรรมชาติที่บริษัทมีการลงทุนอยู่โดยโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากรัฐบาลพม่า
ทั้งนี้นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนคาดเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปี 2563 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,679 จุด ซึ่งสูงกว่าระดับดัชนี ณ วันสิ้นปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 1,579
เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้แล้ววันนี้!....
ทีมงาน INN WHY? รายการเพื่อผู้บริโภค ร่วมปฏิวัติความคิด ปรับเปลี่ยนชีวิต ก้าวสู่ความมั่นคง หลังเกษียณ
ติดตามเราได้ที่ไลน์แอด @INNWHY.TV หรือ Facebook.com/INNWHY.TV และ Youtube.com/c/innwhy
Contact us : INNWHY31@gmail.com