เพิ่มเพื่อน

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ  เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยประมาณการเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงของปี 2565 ว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันประมาณการเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง จากข้อมูลรายงานแสดงฐานะการเงินและผลการดำเนินกิจการของบริษัท (รายงาน XML จากระบบ CRR) คาดการณ์เบี้ยประกันภัยเต็มปี 2565 จะมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงประมาณ 886,211 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตประมาณ +0.10% ถึง +2.10% แบ่งเป็น

  • ประมาณการเบี้ยประกันชีวิต จำนวน 614,917 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตประมาณ -0.82% ถึง +18% สอดคล้องกับการประมาณการของสมาคมประกันชีวิตไทย (ประมาณการไว้ +0.00% ถึง +2.50%)
  • ประมาณการเบี้ยประกันวินาศภัย จำนวน 271,293 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตประมาณ +2.25% ถึง +4.25% สอดคล้องกับการประมาณการของสมาคมประกันวินาศภัยไทย (ประมาณการไว้ +3.50 ถึง +50%)

สำหรับประมาณการเบี้ยประกันภัยเต็มปี 2566 จะมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงประมาณ 894,600 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตประมาณ -0.05% ถึง +1.95%

ในส่วนของผลิตภัณฑ์ประกันภัย ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ได้รับความนิยมและ
มีการเติบโตสูงขึ้น คือ ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์และผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตประเภทสัญญาเพิ่มเติมการประกันสุขภาพ ส่วนผลิตภัณฑ์ประกันวินาศภัยที่ได้รับความนิยมและมีการเติบโตสูงขึ้น คือ ประกันภัยรถยนต์ซึ่งยังคงครองแชมป์เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพ รวมทั้งมาตรการเปิดประเทศของภาครัฐที่เน้นเรื่องการท่องเที่ยว ส่งผลให้ประกันภัยการเดินทางต่างประเทศจะเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่จะกลับมาได้รับความนิยมมากขึ้น

นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle (รถ EV) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการยานยนต์ เกิดกระแสความนิยมรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น โดยปัจจุบันมีรถ EV จดทะเบียนรวมทุกประเภท ประมาณ 20,000 คัน ซึ่งบริษัทประกันภัยจะกำหนดเบี้ยรถ EV สูงกว่ารถยนต์ทั่วไป

ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนนำระบบประกันภัยเข้ามาบริหารความเสี่ยงรถ EV สำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย พัฒนา ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการประกันภัย จึงได้มีการประชุมหารือกับภาคธุรกิจประกันภัยที่มีการรับประกันภัยรถ EV รวมทั้งผู้แทนจากคณะกรรมการยานยนต์และสมาคมประกันวินาศภัยไทยเพื่อแก้ไขปัญหาค่าเบี้ยประกันภัย โดยที่ประชุมได้ตกลงร่วมกันว่าเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้เอาประกันภัย บริษัทประกันภัยจะยังไม่มีการขึ้นเบี้ยประกันภัยในช่วงนี้ แม้ว่า Loss Ratio ของรถกลุ่มนี้จะสูงกว่ารถสันดาปค่อนข้างมากก็ตาม

สิ่งที่สำนักงาน คปภ. จะดำเนินควบคู่กันไป โดยกำหนดแผนดำเนินการในปี 2566 คือ จะมีการเก็บรวบรวมสถิติการรับประกันภัยรถ EV และศึกษารูปแบบการประกันภัยเพื่อจัดทำพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยรถ EV ให้มีความคุ้มครองและอัตราเบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับความเสี่ยงและต้นทุนในการรับประกันภัย อันจะเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้ อีกทั้ง จะเป็นทางเลือกให้กับประชาชนผู้ใช้รถ EV สามารถเข้าถึงเบี้ยประกันภัยที่ถูกลงได้

จากสถานการณ์ปัจจุบัน มีปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อแนวโน้มอัตราการเติบโตของธุรกิจประกันภัยในภาพรวม ดังนี้

  • ด้านการรับประกันภัย มีปัจจัยสนับสนุนที่อาจส่งผลต่อธุรกิจประกันภัย ได้แก่ เบี้ยประกันสุขภาพที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ตื่นตัวในเรื่องการรักษาสุขภาพ , เบี้ยประกันภัยประเภทตัวเรือและขนส่งเติบโตจากการฟื้นตัวจากภาคการส่งออก , เบี้ยประกันภัยรถยนต์เติบโตจากการคาดการณ์ยอดขายปี 2565 ที่เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และเบี้ยประกันภัยการเดินทางต่างประเทศเติบโตจากการที่หลายประเทศมีการผ่อนคลายมาตรการเดินเข้าประเทศ ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อธุรกิจประกันภัย ได้แก่ เบี้ยประกันชีวิตประเภทควบการลงทุนที่มีแนวโน้มชะลอตัวจากปีก่อนจากสถานการณ์ของตลาดทุนที่ผันผวน และความต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยของประชาชนลดลงจากภาวะอัตราเงินเฟ้อและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง
  • ด้านการดำเนินงาน มีปัจจัยสนับสนุนที่อาจส่งผลต่อธุรกิจประกันภัย ได้แก่ การนำเทคโนโลยี เช่น AI และ Data analytics มาใช้ในการเสนอขายและการให้บริการส่งผลดีต่อการเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น ส่วนปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ ค่าสินไหมทดแทนทั้งประเภท motor และ non-motor อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น , ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัทอาจเพิ่มขึ้นจากภาวะอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น , ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูลส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อธุรกิจการเงินรวมถึงธุรกิจประกันภัย รวมถึงความเสี่ยงใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น ภัยธรรมชาติ ภาวะโลกร้อน
  • ด้านการลงทุน มีปัจจัยสนับสนุนที่อาจส่งผลต่อธุรกิจประกันภัย ได้แก่ บริษัทประกันชีวิตมีรายได้จากการลงทุนเพิ่มขึ้นจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยบริหารภาระผูกพันของบริษัท ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อธุรกิจประกันภัย ได้แก่ ภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงส่งผลให้ตลาดทุนมีความผันผวน
  • นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งได้แก่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้เงินกองทุนของบริษัทประกันชีวิตบางแห่งลดลงจากมูลค่าตราสารหนี้ที่ลดลง

เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้แล้ววันนี้!....