เลขาธิการ คปภ. ร่วมแถลงมาตรการพัฒนาตลาดทุนไทย  ขับเคลื่อนระบบประกันภัยรองรับสถานการณ์ผู้ได้รับผลกระทบจากโรคไวรัสโคโรนา (COVID-19)

ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า วันนี้ (11 มีนาคม 2563 ) ได้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทย ครั้งที่ 1/2563 โดยมีนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในการประชุม พร้อมด้วย กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กระทรวงการคลัง (สำนักงาน ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และตัวแทนภาคส่วนต่าง ๆ เข้าร่วมประชุม เพื่อหารือแนวทางพัฒนาตลาดทุนไทย ให้สามารถส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาประเทศ และยกระดับขีดความสามารถของเศรษฐกิจไทย เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาสภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ  โดยที่ประชุมได้มีการหารือในการเพิ่มมาตรการภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนไทย โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานราก

ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ได้เสนอมาตรการ/แผนงานเพิ่มเติมในการปรับปรุงแผนพัฒนา ตลาดทุนไทย ฉบับที่ 3 ทั้งในเรื่องของ บูรณาการให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนาทักษะทางการเงิน โดยได้นำประสบการณ์ของการดำเนินงานในโครงการต่างๆ ที่มีบทบาทและมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการประกันภัย (Insurance literacy) และเพิ่มช่องทางการเข้าถึงการประกันภัยของสำนักงาน คปภ. ให้กับชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ ผ่านโครงการสำคัญ อาทิ โครงการ “คปภ. เพื่อชุมชน”  โครงการประกันภัยข้าวนาปี ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปี จำนวน 42 ล้านไร่ หรือประมาณร้อยละ 80 ของพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีทั้งหมด  โครงการ OIC Gateway โดยดำเนินการพัฒนาระบบ OIC Gateway เพื่อส่งเสริมการใช้และพัฒนาเทคโนโลยีด้านการประกันภัยให้เกิดสังคมแห่งการเชื่อมโยงระหว่างกัน  เป็นต้น

นอกจากนี้ ได้เสนอให้มีการส่งเสริมให้ความรู้แก่ประชาชนในเรื่องการเงินโดยเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก โดยจะบูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการเพื่อบรรจุความรู้ด้านการเงินลงในหลักสูตรการเรียนการสอนตั้งแต่การศึกษาในระดับต้น และจัดทำคู่มือการเรียนการสอน และโครงการศึกษาวิจัยการประกันภัยเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งได้ร่วมกับวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีข้อเสนอแนะให้มีการส่งเสริมพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่หลากหลาย สอดคล้องกับสภาพความต้องการและความเสี่ยงและสอดคล้องกับสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยในปัจจุบัน อาทิ การประกันภัยการดูแลระยะยาว (Long term care insurance) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการในรายละเอียด

นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. ยังได้ออกมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา (COVID-19) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นใน 5 ด้าน ดังนี้

  1. แถลงการณ์ยืนยันให้เกิดความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และประกันภัยการเดินทางที่มีอยู่ในปัจจุบันครอบคลุมถึงการคุ้มครองโรคที่เกิดจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้มีการจัดทำผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่รองรับการคุ้มครองโรคที่เกิดจากไวรัสนี้โดยเฉพาะ โดยหากมีการขออนุมัติแบบกรมธรรม์ดังกล่าวจะอนุมัติให้แบบ fast track ซึ่งขณะนี้มีบริษัทประกันภัย 14 บริษัท ได้รับความเห็นชอบแบบผลิตภัณฑ์นี้
  2. สร้างความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจประกันภัย โดยจัดทำ Stress test เพื่อทดสอบปัจจัยมหภาค การเคลมจากการเสียชีวิตและการเจ็บป่วยเพื่อเตรียมมาตรการรองรับ หากสถานการณ์มีความรุนแรง ซึ่งผลการทดสอบพบว่า ธุรกิจประกันภัยมีความแข็งแกร่งและสามารถรองรับสถานการณ์ไวรัสโคโรนาได้เป็นอย่างดี
  3. มีระบบการกำกับดูแล โดยการปรับกฎกติกาต่าง ๆ ให้มีความยืดหยุ่น และพร้อมที่จะมีการทบทวนเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์
  4. มีระบบการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ กรณีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัย
  5. มีระบบการดูแลภาคธุรกิจประกันภัยและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โดยการออกมาตรการต่าง ๆ ตามที่นำเสนอมาก่อนหน้านี้ โดย มาตรการในช่วงแรก 4 มาตรการ คือ   (1) สนับสนุนส่งเสริมและเร่งอนุมัติผลิตภัณฑ์ที่ให้ความคุ้มครองการเจ็บป่วยจากไวรัสโคโรนาโดยเฉพาะ   (2) สนับสนุนส่งเสริมมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศไทยร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยศึกษาและพัฒนากรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองนักท่องเที่ยว ซึ่งเกิดการเจ็บป่วยจากโรคไวรัสโคโรนา (3) ส่งเสริมสร้างความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจประกันภัย โดยจัดทำ Stress test เพื่อทดสอบปัจจัยมหภาค การเคลมจากการเสียชีวิตและการเจ็บป่วยเพื่อเตรียมมาตรการรองรับ หากสถานการณ์มีความรุนแรง (4) เร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้ว่า กรมธรรม์ประกันสุขภาพ ประกันชีวิต และประกันภัยการเดินทางสามารถคุ้มครองหากเจ็บป่วยจากไวรัสโคโรนา  และต่อมาได้ออก 15 มาตรการ คือ ด้านการประกันชีวิต อาทิ ขยายระยะเวลาผ่อนผันการชำระเบี้ยประกันชีวิตออกไปอีก 60 วันจากกำหนดระยะเวลาผ่อนผันเดิม ยกเว้นดอกเบี้ยกรณีกรมธรรม์ประกันชีวิตสิ้นผลบังคับ หากผู้เอาประกันภัยขอต่ออายุ หรือขอกลับคืนสู่สถานะเดิม ภายใน 6 เดือน ผ่อนผันการกำหนดอัตราดอกเบี้ยในกรณีนำมูลค่าเวนคืนมาชำระเบี้ยประกันภัยโดยอัตโนมัติ หรือกู้ยืมเงินตามกรมธรรม์ประกันชีวิต ผ่อนผันให้ผู้เอาประกันภัยชำระเบี้ยประกันภัยในแต่ละงวด โดยไม่คิดดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา
    6 เดือน ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมีการเปลี่ยนแปลงเบี้ยงวดการชำระเบี้ยประกันภัยใด ๆ ก็ตาม หรือมีการชำระเบี้ยประกันภัยรายงวดที่น้อยกว่า 1 ปี ขอความร่วมมือให้บริษัทประกันชีวิตสามารถลดอัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตและสัญญาเพิ่มเติมที่ให้ความคุ้มครองสุขภาพ ได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของจำนวนเบี้ยประกันภัย มาตรการด้านประกันวินาศภัย อาทิ ผ่อนผันการชำระเบี้ยประกันภัยของกรมธรรม์ประกันสุขภาพ หรือกรมธรรม์ประกันภัยที่มี่ความคุ้มครองเดียวกัน ผ่อนผันให้ผู้เอาประกันภัยชำระเบี้ยเป็นรายงวดได้ สำหรับการประกันอัคคีภัยและการประกันภัยเบ็ดเตล็ด บริษัทอาจลดเบี้ยประกันภัยสำหรับผู้เอาประกันภัยโดยตรงกับบริษัทได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของจำนวนเบี้ยประกันภัย
    มาตรการด้านคนกลางประกันภัย อาทิ ขยายระยะเวลาต่ออายุใบอนุญาตเป็นตัวแทน-นายหน้าประกันภัย ให้ตัวแทน-นายหน้าประกันภัย งดการเข้าสอบเมื่อมีอาการไอ จาม หรือเป็นไข้ ชะลอหรืองดการเข้ารับการอบรมตามหลักสูตรฯ ขอความร่วมมือหน่วยงานที่ได้รับความเห็นชอบในการจัดอบรมตามหลักสูตรชะลอหรืองดการจัดอบรม โดยให้สิทธิ์ไม่คิดค่าใช้จ่ายสำหรับการอบรมในครั้งต่อไป นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการร่วมกับภาคธุรกิจประกันภัย มอบกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองโรคไวรัสโคโรนา COVID-19 ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 70,000 ฉบับ โดยมีวงเงินความคุ้มครองรวมทั้งสิ้น 3,500 ล้านบาท

          ทั้งนี้ จะมีการหารือร่วมกับภาคธุรกิจประกันภัย เพื่อกำหนดมาตรการเพิ่มเติมในการรองรับสถานการณ์ดังกล่าวอีกครั้งในวันที่ 12 มีนาคม 2563 เพื่อให้ครอบคลุมทั้งในส่วนของการประกันชีวิต และการประกันวินาศภัยต่อไป

 

เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้แล้ววันนี้!....