นายนพพล เบี้ยวไข่มุก ผู้จัดการกองทุนประกันชีวิต (กปช.) เปิดเผยว่า เนื่องด้วยในปี 2566 เป็นต้นไปกองทุนฯ จะต้องดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ซึ่งมีระยะเวลาของแผนเริ่มตั้งแต่ปี 2565 ไปจนถึงปี 2570 โดยมีทั้งหมด 4 แผนหลักประกอบด้วย

1.งานเพื่อประชาชนและธุรกิจประกันชีวิต รวมถึงการติดตามประชาชนให้มารับเงินกรมธรรม์ล่วงพ้นอายุความด้วย 2.เรื่องการมองข้างในเพื่อสนับสนุนข้างนอก (Inside Out) คือยกระดับความสามารถทรัพยากรทั้งหมดของกองทุนฯ โดยเฉพาะทรัพยากรบุคคล 3.จัดไดร์ฟเวอร์ (Driver)การขับเคลื่อนองค์กรด้วยระบบไอที และสุดท้ายเป็นการยกระดับการสร้างเครือข่ายและพันธมิตรทางธุรกิจ

“ปี 2566 หน้านี้ สิ่งหนึ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมจริง ก็คือตามหาเงินเจ้าของกรมธรรม์ล่วงอายุความ ที่เราตั้งเป้าหมายว่า ต้องการเพิ่มขึ้น ปีละไม่ต่ำกว่า 25%  จากประมาณการว่าสิ้นปี 2565 นี้จะติดตามเจ้าของเงินได้ 7,500 รายการ ฉะนั้นในปีหน้าเราน่าจะติดตามได้ 9,400 รายการครับ”

นอกจากนั้นการจ่ายเงินกรมธรรม์ล่วงพ้นอายุความในระยะต่อไป จะมีช่องทางออนไลน์ที่อำนวยความสะดวกในการติดต่อขอรับเงินเพิ่ม โดยประมาณการรองรับได้ไม่ต่ำกว่า 50% ของจำนวนรายการที่กองทุนฯ จะจ่ายคืนเจ้าของเงินทั้งหมด ฉะนั้นการเร่งติดตามเจ้าของเงินให้มารับเงินคืนก็จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากเดิม 1% ขยับไปเป็น 3-5% ได้

“สิ้นปี 2566 แล้วปีต่อๆไป ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยจำนวนเงินที่มีอยู่ 1,768 ล้านบาทตอนนี้ ที่จ่ายไปแล้วคิดเป็นแค่ 4% ก็น่าจะขยับไปเป็น 8% หรือ 10% ได้ ซึ่งจำนวนเงินนั้นเราควบคุมไม่ได้ เพราะว่าหนึ่งรายที่มารับมีจำนวนเงินที่ได้รับไม่เท่ากัน หรือเพิ่มจาก 30.8 ล้านบาทเป็นประมาณ 60 ล้านบาท”

อย่างไรก็ตามคุณนพพลกล่าวย้ำว่า นอกจากกองทุนประกันชีวิตจะต้องคำนึงถึงการดูแลประชาชนและสร้างความตระหนักรู้ถึงการทำประกันชีวิตว่ามีความจำเป็นต่อทุกครอบครัว ตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปีนี้กองทุนประกันชีวิตยังมีแผนปฏิบัติเพื่อการพัฒนาธุรกิจทั้งระบบ ผ่านขบวนการทำงานร่วมกับบริษัทประกันชีวิตในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการศึกษาวิเคราะห์เชิงวิชาการ เพื่อให้ภาคธุรกิจได้นำไปใช้ประโยชน์ต่อไปอีกด้วย

เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้แล้ววันนี้!....