สวิส รี ส่องกล้องปี 2567-2568 ชี้ยุค new normal ดอกเบี้ยขาขึ้นหนุนอุตสาหกรรมประกันชีวิตทั่วโลกเติบโต คาดประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์โตแกร่งรับปัจจัยบวกชนชั้นกลางพุ่ง มองหาประกันชีวิตเป็นเครื่องมือวางแผนเกษียณ พยากรณ์10 ปีข้างหน้า ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ทั้งโลกโตเฉลี่ย2.7%ต่อปี เบี้ยทะลุ4ล้านล้านเหรียญ ส่วนประกันวินาศภัย ผลกระทบจากเงินเฟ้อต่อต้นทุนเคลมเริ่มผ่อนคลาย ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรจะดีขึ้น
เว็บไซต์ AsiaInsuranceReview รายงานว่า สถาบัน สวิส รี (Swiss Re Institute (SRI) ผู้รับประกันภัยต่อแถวหน้าของโลก เปิดเผยรายงานซิกม่า( Sigma )ฉบับใหม่ หัวข้อ “ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากกระแสลมที่พัดแรงขึ้น: แนวโน้มเศรษฐกิจและประกันภัยทั่วโลกในปี 2567-2568 :Risks on the rise as headwinds blow stronger: global economic and insurance market outlook 2024-2025” ว่า การปรับตัวสู่ภาวะปกติใหม่ (new normal) ของอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นนั้นเป็นปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมประกันชีวิตทั่วโลก
สวิส รี คาดการณ์ ในระยะ 2ปีข้างหน้า ประกันชีวิตประเภทสะสมทรัพย์( savings products) จะมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งประกันชีวิตแบบเงินรายปี ( annuity products) เป็นผลจากการเติบโตของชนชั้นกลางทั่วโลก โดยปัจเจกบุคคลกำลังมองหาบริษัทประกันภัยสำหรับการวางแผนเกษียณอายุมากขึ้น
ตามรายงานของซิกม่าระบุว่า การเติบโตของเบี้ยประกันภัยอยู่บนเส้นทางการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง โดยมีการเติบโตของเบี้ยประกันภัยทั่วโลกในระยะยาวอยู่ที่ 1.5% ในปี 2566 หลังจากที่หดตัวลง 0.7% ในปี 2565 และยังคงมีการคาดการณ์การเติบโตของเบี้ยประกันภัยที่สูงขึ้นในระยะกลาง (2567-2568) : 2.3%) โดยมีแรงขับเคลื่อนจากตลาดเกิดใหม่เป็นส่วนใหญ่ (+5.1%) แต่ขณะเดียวกันก็มีแรงสนับสนุนจากตลาดที่พัฒนาแล้ว (+1.3%) เช่นกัน
สวิส รี ประมาณการว่า ในปี 2576 เบี้ยประกันชีวิตประเภทสะสมทรัพย์ทั่วโลกจะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 4.0 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐจากประมาณ 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2565 หรือเติบโตเฉลี่ย 2.7% ต่อปี นั่นหมายความว่า ในระยะ10 ปีข้างหน้าจะมีเบี้ยประกันชีวิตประเภทสะสมทรัพย์เข้าสู่อุตสาหกรรมประกันชีวิตเพิ่มขึ้นถึง 1.7ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 65% ในเบี้ยประกันภัยธุรกิจใหม่ เมื่อเทียบกับสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยสวิส รี คาดการณ์การเติบโตของเบี้ยประกันชีวิตประเภทสะสมทรัพย์ในทศวรรษหน้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบทางลบจากวิกฤติการเงินโลก อยู่ในยุคอัตราดอกเบี้ยต่ำ และการระบาดของโควิด-19
2ปีหน้าประกันวินาศภัยหดตัว
กำไรดีเหตุเบี้ยแพง/ผลตอบแทนลงทุนขยับ
สำหรับภาคประกันวินาศภัย สวิส รี มองว่า การปรับราคาเบี้ยประกันภัยให้สอดรับกับความเสี่ยงด้านการประกันภัยอย่างมีนัยสำคัญในปี 2566 จะส่งผลทำให้เบี้ยประกันภัยทั่วโลกเติบโตประมาณ 3.4% ในปี 2566 และคาดว่าจะการเติบโตจะลดลงเหลือ 2.6% ในปี 2567 และ 2568 โดยผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อทางเศรษฐกิจต่อการเคลมสินไหมทดแทนจะผ่อนคลายลงอีกตลอดปี 2567 และ 2568 ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรจากการรับประกันภัยจะดีขึ้นด้วยอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ประมาณ 10% ในปี 2567 และ 2568 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 10 ปีอยู่ที่ 6.8% อย่างมาก
การปรับปรุงความสามารถในการทำกำไรของบริษัทประกันวินาศภัยที่ดีขึ้นเนื่องจากผลตอบแทนจากการลงทุนสูงขึ้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมของอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เช่นเดียวกับผลการรับประกันภัยที่ดีขึ้น เนื่องจากอัตราเบี้ยประกันภัยที่สมเหตุสมผลมากขึ้นทั้งประกันภัยเชิงพาณิชย์ (commercial lines) และประกันภัยส่วนุคคลหรือประกันภัยรายย่อย(personal lines) ซึ่งในปัจจุบัน ผลตอบแทนจากการลงทุนในภาคประกันวินาศภัยสูงกว่า 3.3% ในปี 2566 และจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 3.7% ในปี 2567 และ 3.9% ในปี 2568 โดยการพิจารณารับประกันยังมีแรงบวกจากการอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงและเงื่อนไขตลอดจนข้อกำหนดต่างๆ ในการรับประกันภัยได้มีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะช่วยลด ผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อที่มีต่อต้นทุนสินไหมทดแทน
สวิส รี คาดว่า ในปี2567และ2568 การเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับรวมประกันวินาศภัยจะอยู่ที่ 2.2% ต่อปีโดยเฉลี่ย ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2561-2565: 1.6%)
เศรษฐกิจฟื้นตัว
หลังจากเศรษฐโลกฟื้นตัวขึ้นในปี 2566 ซึ่งขับเคลื่อนโดยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง 0.4 ppts เป็นการเติบโตของเศรษฐกิจที่แท้จริง(real GDP) ที่ 2.2% ในปี 2567 โดยประเทศเศรษฐกิจหลักมีผลงานที่แตกต่างกัน โดยที่สหรัฐฯ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ยุโรปกำลังซบเซา ส่วนจีนกำลังต่อสู้กับความท้าทายในการเติบโตเชิงโครงสร้างในประเทศ ขณะที่ความขัดแย้งในตะวันออกกลางกำลังเพิ่มความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาค
Mr Jérôme Jean Haegeli หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Swiss Re’s Group กล่าวว่า “กระแสลมทางเศรษฐกิจที่ค่อยๆ จางลงและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ตอกย้ำบทบาทที่สำคัญของอุตสาหกรรมประกันภัยในการถ่ายโอนความเสี่ยง ในขณะที่ภาคประกันภัยจะยังคงเสริมสร้างความสามารถในการทำกำไรต่อไป โดยหลักๆ จะได้รับแรงหนุนจากการปรับราคาเบี้ยประกันภัยตามความเสี่ยง ประกอบกับผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี ยังไม่คาดว่า บริษัทประกันวินาศภัยจะได้รับต้นทุนทางการเงินในตลาดส่วนใหญ่ในปี 2567 หรือ 2568 เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อทางเศรษฐกิจจะยังคงส่งผลกระทบเชิงลบต่อต้นทุนสินไหมทดแทนอยู่ “
เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้แล้ววันนี้!....
ทีมงาน INN WHY? รายการเพื่อผู้บริโภค ร่วมปฏิวัติความคิด ปรับเปลี่ยนชีวิต ก้าวสู่ความมั่นคง หลังเกษียณ
ติดตามเราได้ที่ไลน์แอด @INNWHY.TV หรือ Facebook.com/INNWHY.TV และ Youtube.com/c/innwhy
Contact us : INNWHY31@gmail.com