“แมคคินซี่ “บริษัทที่ปรึกษาระดับโลกชี้  บริษัทประกันวินาศภัยในเอเชียกำลังเผชิญกับสถาณการณ์ที่ยากลำบากทั้งเติบโตถดถอย  เบี้ยประกันต่อจีดีพีต่ำ สวนทางคอมไบน์ เรโช(COR) พุ่งปรี๊ดเกิน100% แนะ 2 ทางรอด มุ่งสู่วิถีใหม่ดิจิทัล -เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจที่มีอยู่ โดยเฉพาะงานเคลม-รับประกัน  ย้ำบริษัทประกันภัยต้องปรับตัว ทำงานให้เร็วขึ้น พัฒนาทักษะ พร้อมเปิดรับนวัตกรรม ทดลองเทคโนโลยีและโมเดลธุรกิจใหม่

เว็บไซต์ AsiaInsuranceReview รายงานว่า  บริษัท แมคคินซี่  แอนด์ โค บริษัทที่ปรึกษารายใหญ่ระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา โดย  Henri de Combles de Nayves, Bernhard Kotanko, Angat Sandhu และ Kazuaki Takemura ได้ร่วมกันให้ความคิดเห็นถึงภาพรวมของตลาดประกันวินาศภัยในเอเชีย แปซิฟิกผ่านรายงานหัวข้อ “Global Insurance Report 2023: The Future of Asia P&C Insurance” ว่า  ในช่วงทศวรรษก่อนปี 2565  ธุรกิจประกันวินาศภัยในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิกมีเบี้ยประกันภัยเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 5% ต่อปี ซึ่งเท่ากับการเติบโตในสหรัฐอเมริกา และสูงกว่าการเติบโตในภูมิภาคยุโรป  ตะวันออกกลาง และแอฟริกาหรือ (EMEA)

อย่างไรก็ตาม การเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัยในเอเชียชะลอตัวในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษดังกล่าว โดยลดลงเหลือเพียง 3% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2560 ถึง 2565 ขณะที่โซน  EMEA ก็มีการเติบโตต่ำกว่ามาตรฐานที่ 3.6% เช่นกันเทียบกับการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัยทั่วโลกยังคงสูงที่ระดับ 5%

เบี้ยประกันต่อจีดีพี”ต่ำ”

คอมไบน์ เรโช อยู่ในทิศขาขึ้น

แมคคินซี่เผยว่า การเติบโตของเบี้ยประกันวินาศภัยไม่สอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจ( GDP )ของภูมิภาค  ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา   ธุรกิจประกันวินาศภัยในเอเชียมีเบี้ยประกันภัยต่อจีดีพีเพียงประมาณ 2% ของตลาดที่พัฒนาแล้ว  ในขณะที่ตลาดเกิดใหม่ (emerging countries) อยู่ที่ 1% เท่านั้น เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ทั้งการตระหนักรู้ของประชาชน  การเข้าถึงระบบประกันภัย และความสามารถในจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยที่ไม่เพียงพอ  โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่  ซึ่งเบี้ยประกันภัยต่อจีดีพีที่ต่ำยังสามารถเชื่อมโยงโดยตรงกับระดับความซับซ้อนของตลาด ซึ่งประเมินโดยอิงจากปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราส่วนการบริหารของธุรกิจประกันวินาศภัย (บ่งบอกถึงความซับซ้อนในการดำเนินงาน) ระดับการแข่งขัน และสัดส่วนของยอดขายผ่านช่องทางดิจิทัล

นอกจากนี้ ผู้บริโภคในเอเชียมีแนวโน้มที่จะประหยัดเงินในกระเป๋ามากกว่าผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา อังกฤษและยุโรปตะวันตก นั่นหมายความว่า ผู้บริโภคชาวเอเชียอาจให้ความสำคัญกับการประหยัดเงินมากกว่าการจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้บริโภคเชื่อว่าเงินออมของพวกเขาสามารถตอบสนองความต้องการทางการเงินในทันทีได้

แมคคินซี่กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2560 ถึง 2565 อัตราส่วนรวม (COR) ของตลาดเกิดใหม่ในเอเชียพุ่งขึ้นถึงระดับ 100% หรือสูงกว่า 100% ทุกปี  โดยมีสาเหตุหลักมาจากอัตราส่วนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น  โดยในปี 2564  อัตราเงินเฟ้อที่สูงส่งผลให้ค่าสินไหมทดแทนสูงขึ้น โดยเฉพาะประกันภัยทรัพย์สินและประกันภัยรถยนต์

นอกจากนี้ สภาวะแวดล้อมจากอัตราดอกเบี้ยต่ำยิ่งเพิ่งแรงกดดันผลประกอบการด้านการรับประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่โควิด-19 ระบาดอย่างรุนแรง

กลุ่มตลาดเกิดใหม่ในเอเชียมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายสูงกว่าตลาดที่พัฒนาแล้วในเอเชีย แม้ว่ากลุ่มตลาดเกิดใหม่ในเอเชียจะมีเบี้ยประกันภัยมากกว่าก็ตาม ซึ่งจากข้อมูล Global Insurance Pools  ของแมคคินซี่ระบุว่า ตลาดเกิดใหม่ในเอเชียมีเบี้ยประกันวินาศภัยรวมกันกว่า  2.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ  เทียบกับตลาดที่พัฒนาแล้วในเอเชียที่มีเบี้ยประกันวินาศภัย  2.16  แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ   สาเหตุหลักมาจากผู้บริโภคในตลาดเกิดใหม่ในเอเชียซื้อประกันภัยรถยนต์เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าเบี้ยประกันรถยนต์เพิ่มขึ้น 7% ต่อปีตั้งแต่ปี 2555 ถึง 2565

แนะ2ทางรอดกระตุ้นการเติบโต

มุ่งสู่โลกใหม่-เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ

แมคคินซี่ให้คำแนะนำว่า  บริษัทประกันภัยที่ดำเนินธุรกิจในเอเชียสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของธุรกิจเพื่อเพิ่มการเติบโตของเบี้ยประกันภัยอย่างมีนัยสำคัญได้ ด้วย  2 แนวทาง แนวทางแรก   มุ่งไปสู่วิถีโลกใหม่ ในภูมิทัศน์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บริษัทประกันภัยจะต้องมีส่วนร่วมเชิงรุกกับโอกาสและความเสี่ยงใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น  อาทิ   ความปลอดภัยทางไซเบอร์, พลังงาน ,การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และเทคโนโลยีที่ก่อกวนหรือทำให้ธุรกิจเกิดการหยุดชะงัก เช่น  generative AI เป็นต้น  ทั้งนี้เพื่อให้ประสบความสำเร็จบนเส้นทางนี้ บริษัทประกันภัยจะต้องมีความคล่องตัว มากขึ้น มีนวัตกรรมและมีความคิดก้าวหน้า รวมถึงคอยสำรวจแนวโน้มใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคว้าโอกาสที่เกิดขึ้นดังกล่าว

แนวทางที่สอง การเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจหลัก ในขณะที่เปิดรับโอกาสในโลกใหม่ บริษัทประกันภัยไม่ควรละเลยศักยภาพในการสร้างมูลค่าภายในธุรกิจที่ดำเนินงานอยู่ การบรรลุความเป็นเลิศใน value chain  ในส่วนงานหลักๆ เช่น งานด้านสินไหมทดแทนและการรับประกันภัย (UW) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง  ด้วยการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการทำงานในธุรกิจหลักเหล่านี้ จะทำให้บริษัทประกันภัยสามารถเพิ่มผลกำไรและประสิทธิภาพการดำเนินงานได้

นอกจากนี้ บริษัทประกันภัยควรใช้ประโยชน์จากช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านระบบดิจิทัลที่กำลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อเร่งการเติบโตและปรับปรุงการมีส่วนร่วมของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น  โดยบูรณาการอุปกรณ์และแพลตฟอร์มทางดิจิทัลจะเป็นเครื่องมือที่ทำให้บริษัทประกันภัยบรรลุวัตถุประสงค์เหล่านี้ได้

อย่างไรก็ดี แมคคินซี่ กล่าวว่า การขับเคลื่อนทั้งสองแนวทางไปพร้อมๆ กันนั้น บริษัทประกันภัยจำเป็นต้องพัฒนาทักษะการใช้งานใหม่ๆ และวัฒนธรรมแห่งความคล่องตัว, ความสามารถในการปรับตัว และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องภายในองค์กรของตน  โดยบริษัทประกันภัยจะต้องทำงานให้เร็วขึ้นกว่าที่ผ่านมาควบคู่ไปกับการเปิดรับนวัตกรรมและพร้อมทดลองเทคโนโลยีและโมเดลธุรกิจใหม่ๆ

สำหรับ “ตลาดที่พัฒนาแล้ว” ในเอเชีย แปซิฟิกที่อยู่ในรายงานดังกล่าว  ได้แก่ ออสเตรเลีย ฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน  ส่วน“ตลาดเกิดใหม่” ได้แก่ จีน อินเดีย และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  อาทิ   อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม เป็นต้น

 

เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้แล้ววันนี้!....