FIN Broker ปักธง!ปี66วางเบี้ย2,200ล้านบาท เปิดตัวMDใหม่ “ปรีชา” ลุยตลาดประกันชีวิต

ฟิน โบรคเกอร์ “FIN Broker” ปักธง!ปี 66 เบี้ยแตะ 2,200 ล้านบาท ประกาศความพร้อมลุยนายหน้าประกันชีวิตเต็มพิกัด เปิดตัว “ปรีชา ไพบูลย์วุฒิโชค” นั่งเอ็มดีช่วยดันครึ่งปีหลังเพิ่ม 100 ล้านบาท ตัวแทนอีก 300 คน ชูจุดแข็ง “ฟิน” พร้อมทุกด้าน ระบบงาน สินค้าเด่นจากพาร์ทเนอร์บริษัทประกันชีวิตหลากหลายแบบ

นายปัญญวัฒน์ โพธิ์ศรีทอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟิน อินชัวรันส์ โบรคเกอร์ จำกัด “FIN Broker” เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ก่อตั้ง” FIN Broker’ ขึ้นในปี 2563 ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจประกันภัย สามารถสร้างเบี้ยประกันภัยได้ถึง 180 ล้านบาทสะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีได้รับการตอบรับจากตลาดและตอบโจทย์นายหน้าประกันภัยได้ ซึ่งหลังจากนั้น ฟิน มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง

โดยในปี 2564 มีเบี้ยประกันภัยเพิ่มขึ้นเป็น 800 ล้านบาท จากการขยายทีมงานมากขึ้นและเริ่มเดินสายออกไปในต่างจังหวัด ต่อมาในปี 2565 ฟินได้เปิดตัวแพล็ตฟอร์ม “ฟินประกันรถ” ที่ได้ “ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อสร้างแบรนด์ “ฟินประกันรถ”โดยมีการทุ่มโปรโมตแบรนด์อย่างเต็มที่ ทำให้ในปีนั้นฟินสามารถสร้างเบี้ยประกันภัยได้กว่า 1,500 ล้านบาท

นายปัญญวัฒน์ กล่าวต่อถึงทิศทางการขยายตลาดในครึ่งหลังปี 2566 นี้อีกว่า ในวันที่ 17 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมาบริษัทได้จัดงาน “Fin to the future 2023 เรื่องประกันไว้ใจฟิน” ที่โรงแรมเดอะบาซาร์ แบงค๊อก กรุงเทพฯ มีตัวแทนนายหน้าเข้าร่วมกว่า 200 คนโดยได้ประกาศนโยบายการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ที่จะเป็น “ผู้นำเทคโนโลยีแพล็ตฟอร์มนายหน้าประกันภัย” ด้วยเป้าหมายเบี้ยประกันภัยเพิ่มเป็น 2,200 ล้านบาท โดยเบี้ยหลักจะมาจากประกันรถยนต์

นอกจากนี้ภายในงานฟินฯ ยังได้ประกาศความพร้อมที่จะขยายธุรกิจเข้าสู่ช่องทางนายหน้าประกันชีวิตด้วยการเปิดตัวนายปรีชา ไพบูลย์วุฒิโชค ที่มาร่วมงานคนใหม่ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธุรกิจนายหน้าประกันชีวิต ซึ่งถือเป็นไฮไลต์ของงานวันนั้นด้วย

นายปัญญวัฒน์ย้ำว่า ปีนี้เป็นโอกาสสำคัญที่ฟินจะสร้าง S Curve ที่จะสามารถเติบโตในฝั่งของช่องทางนายหน้าประกันชีวิตที่เป็นธุรกิจหลักอีกธุรกิจหนึ่งที่สามารถต่อยอดในฝั่งของฟิน โบรคเกอร์ได้ โดยได้ตั้งเป้าหมายเบี้ยประกันชีวิตในช่วงครึ่งปีหลัง 100 ล้านบาท (รวมอยู่ในเบี้ยประกันภัย 2,200ล้านบาท) จะมาจากการสร้างทีมนายหน้าประกันชีวิตให้ได้ 300คน จากปัจจุบันที่มีนายหน้าประกันชีวิตแอ็คทีฟประมาณ 50 คน

ขณะเดียวกันจะทำงานร่วมกับบริษัทประกันชีวิตที่เป็นพันธมิตรกันอยู่เพื่อสร้างสรรผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต และแพ็คเก็จประกันชีวิตให้กับฝ่ายขายของฟิน โดยบริษัทประกันชีวิตที่เป็นพันธมิตรสามารถเสนอขายผลิตภัณฑ์ที่เป็นอีโร่ของเขาได้ทันที ส่วนผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตในลักษณะ”เอ็กคลูซีฟ” น่าจะเริ่มพัฒนาออกมาได้ในปีหน้า ทั้งนี้ ฟินเริ่มขายประกันชีวิตตั้งแต่ต้นปี 2566 เป็นต้นมา เป็นการทดสอบโมเดลการขาย ในช่วงครึ่งปีแรกมีเบี้ยประกันภัยประมาณ 10 ล้านบาท

“แพล็ตฟอร์มของฟินสามารถเอาแบบประกันหลายแผนมาเปรียบเทียบต่อหน้าลูกค้าได้เลย เป็นจุดเด่นของฟิน วันนี้มีโอกาสมากที่ฐานลูกค้าในฝั่งประกันวินาศภัยที่มีอยู่ประมาณ 250,000 คน จะ convert ไปเป็นลูกค้าประกันชีวิตด้วย ซึ่งวันนี้เรามีนายหน้าประกันวินาศภัยและประกันชีวิตรวมกันเกือบหมื่นราย เป็นฝั่งประกันวินาศภัยที่แอ็คทีฟประมาณ 3,000 ราย”

ด้านนายปรีชา ไพบูลย์วุฒิโชค กรรมการผู้จัดการธุรกิจนายหน้าประกันชีวิตของฟิน กล่าวว่า โอกาสของธุรกิจนายหน้าประกันชีวิตได้แก่ 1.การพัฒนาช่องทางขายของธุรกิจประกันชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นระยะและยกระดับมาตลอด 2.การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่ยอมรับประกันมากขึ้นโดยมีการเปรียบเทียบสินค้ามากขึ้น 3.การปรับตัวของบริษัทประกันชีวิต 4.มุมมองช่องทางตัวแทนประกันชีวิต และ 5.โอกาสของช่องทางนายหน้าประกันชีวิต

ส่วนโมเดลในการทำธุรกิจนั้น นายปรีชากล่าวว่า มองจากพฤติกรรมของผู้บริโภคประกันชีวิตปัจจุบันมีหลายรูปแบบ โดยคนรุ่นใหม่ชอบที่จะมีการเปรียบเทียบกรมธรรม์และเลือกสิ่งดีที่สุด ดังนั้นนายหน้าจึงเหมาะที่จะไปทำหน้าเสนอขายอย่างตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ได้ เพราะถ้าเป็นตัวแทนจะไม่ครอบคลุมแบบประกันอย่างหลากหลายให้เลือก ขณะที่ฟินมีแพล็ตฟอร์มที่เป็นหัวใจสำคัญนี้อยู่แล้ว และแพล็ตฟอร์มของฟินนี้น่าจะเป็นแม่เหล็กที่ดึงตัวแทนให้เข้ามาขายประกันชีวิตผ่านฟินอีกด้วย

“วันนี้ ตัวแทนประกันชีวิตหลายคนเริ่มอึดอัดกับการเป็นตัวแทนเพราะมีข้อจำกัด ระเบียบต่างๆ แรงกดดันเรื่องของเป้าหมาย อยากทำงานที่เป็นอิสระและคล่องตัวมากขึ้น หากเขาเปลี่ยนแนวทางมาร่วมเป็นสมาชิกนายหน้าแทน การทำงานก็จะสามารถตอบโจทย์เขาได้ ด้วยมีความหลากหลายของสินค้า ความเป็นอิสระ ซึ่งฟินจะทำทุดอย่างไว้พร้อม โดยคนขายแค่เข้ามาร่วมงาน แล้วหยิบสิ่งที่ฟินมีไปทำตลาดได้เลย ไม่ต้องมาศึกษาเรื่องแบบประกัน ระบบการทำงานอีก”