ธุรกิจสูงวัย USA ขยายตัวหลังชาวอเมริกันปรับไลฟ์สไตล์สู่โหมด healthy

PHOTO CREDIT : www.acvillage.net

 

หากพูดถึง “สังคมผู้สูงอายุ” เรามักจะนึกถึงบางประเทศในเอเชียเป็นลำดับแรก โดยเฉพาะ ประเทศญี่ปุ่นและประเทศเกาหลีใต้ รวมถึงประเทศไทยที่ปัจจุบันกำลังจะเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบในไม่นานนับจากนี้

 แต่วันนี้เราจะพูดถึงประเทศสหรัฐอเมริกา ชาติเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลก ที่ก่อนหน้านี้ผลการศึกษาของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (CDC)  ยืนยัน  เป็นอีกหนึ่งประเทศมีจำนวนประชากรผู้สูงอายุที่มี “อายุขัยเฉลี่ย” ของประชากรมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆไม่แพ้กลุ่มประเทศเอเชีย  

รายงานของ CDC ระบุว่า อายุขัยเฉลี่ยของชาวอเมริกันจะเพิ่มขึ้นเป็น 78.8 ปี ภายในปี 2030 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่เคยบันทึกไว้ในประเทศ” ขณะ แชมป์ “อายุขัยเฉลี่ย” ประเทศเกาหลีใต้ คาดว่าอยู่ที่ 90.8 ปี

โดยให้เหตุผลสนับสนุนว่า พฤติกรรมของคนอเมริกันเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยวิถีชีวิตของชาวอเมริกันเริ่มผสมผสานไลฟ์สไตล์แบบ healthy เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น เพื่อดูแลสุขภาพให้แข็งแรงดีขึ้นจากเดิม เช่น การไม่สูบบุหรี่, การดื่มแอลกอฮอล์ที่น้อยลง, การรับประทานอาหารที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ และการออกกำลังกายในหลากหลายวิธี รวมไปถึงการใส่ใจกับความรู้รอบด้านที่ช่วยสนับสนุนให้อายุขัยยืนยาวด้วย

เว็บไซต์ The Motley Fool จากรัฐเวอร์จิเนีย บริษัทให้คำปรึกษาและแนะนำด้านการลงทุน ระบุว่า ข้อดีและประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงด้านอายุขัยเฉลี่ยของคนอเมริกัน เป็นโอกาสของช่องทางการสร้างรายได้ใหม่ ๆ ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าผู้สูงอายุ นั่นคือ สปอร์ตคลับสำหรับกลุ่มคนสูงอายุผลิตภัณฑ์ช่วยให้อายุขัยยืนยาว รวมถึงผลิตภัณฑ์ป้องกันโรคต่างๆ สำหรับคนสูงวัย และธุรกิจที่แนะนำคือ ธุรกิจบ้านพักคนชรา

ในแง่ของจำนวนประชากรประเทศสหรัฐอเมริกา สู้ประเทศจีน   เกาหลีใต้และญี่ปุ่น ที่รับมือกับการเข้าสู่สังคมสูงอายุไปแล้วไม่ได้  แต่ความน่าสนใจของตลาดอเมริกาคือ “กำลังซื้อของประชากรสูงวัย”  เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงมากที่สุดในโลกในปัจจุบัน

แต่วัฒนธรรมหนึ่งของชาวอเมริกันที่มีความแตกต่างกับสังคมเอเชียอยู่มากโขก็คืิอ กลุ่มทางประเทศเอเชียส่วนใหญ่นิยมปลูกฝังลูก  หลาน ให้ดูแลพ่อแม่ในยามแก่เฒ่า แต่สำหรับประเทศสหรัฐอเมริกามีเป็นส่วนน้อยหรือแทบไม่มีด้วยมีความเชื่อและวัฒนธรรมยึดมั่นที่ต่างออกไป โดยเฉพาะเด็กๆ ส่วนใหญ่จะแยกตัวออกจากครอบครัวไปอยู่หอพักเองตั้งแต่อายุ 13-14 ปี เพราะเป็นหนึ่งในวิธีการเรียนรู้โลกของพวกเขา

ข้อมูลการสำรวจสำนักสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ปี 2017 ได้พบว่า ผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป เลือกที่จะอาศัยอยู่ในบ้านพักคนชรามากขึ้น 5และคาดว่านับจากนี้ 5-10 ปีข้างหน้า สัดส่วนของกลุ่มผู้สูงอายุเฉลี่ย 65-90 ปี จะเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ขึ้นต่อเนื่อง

รายงานอ้างแผนกลยุทธ์ใหม่ของ “จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน” หรือที่คุ้นเคยกันว่า J&J บริษัทสัญชาติอเมริกันที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับยา เครื่องมือการแพทย์ และสินค้าอุปโภคบริโภคสำหรับผู้สูงอายุ ประกาศเมื่อปีก่อนว่า จะมุ่งทำธุรกิจดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุมากขึ้น ทั้งยังจะทุ่มงบประมาณการวิจัยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของผู้สูงวัย เช่น อาหารเสริมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับหัวเข่า ไหล่ และสะโพก เป็นต้น

นอกจากนี้ บริษัท Senior Housing Properties Trust จากรัฐแมสซาชูเซตส์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ผุดไอเดียพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อกลุ่มคนสูงอายุ เช่น โรงพยาบาลผู้สูงอายุอพาร์ทเม้นท์เฉพาะกลุ่ม และบ้านพักคนชรา ทั้งยังเตรียมจะเสนอให้ปรับกฎระเบียบสำหรับผู้ให้เช่าและผู้เช่าที่เป็นผู้สูงวัย ให้สามารถเช่าที่พักอาศัยได้ในระยะยาวมากกว่าปกติ

ส่วน ธุรกิจดูแลสุขภาพของผู้สูงวัยในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นยังมีสัดส่วนน้อยที่นักลงทุนให้ความสนใจ ดังนั้น เรียกได้ว่าเป็นโอกาสใหม่สำหรับนักลงทุนจากทั่วโลก

แต่อย่างไรก็ตาม ในรายงานของ The Motley Fool กล่าวด้วยว่า ประเทศเอเชียหลายประเทศที่ก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุแล้ว มีการเตรียมความพร้อมและมีความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงในเรื่องดังกล่าวได้ดี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นกลุ่มทุนจากเอเชียตบเท้าเข้าไปลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกามากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้.

เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้แล้ววันนี้!....