กรมควบคุมโรค ผนึก แกร็บ ค้นหาผู้ป่วยโควิด-19 เชิงรุกในผู้ขับขี่สร้างความมั่นใจผู้ใช้บริการเตรียมพร้อมรับ เปิดเมือง

สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กรมควบคุมโรค ร่วมกับ แกร็บ ประเทศไทย จัดกิจกรรมให้บริการตรวจคัดกรองหาเชื้อไวรัสโควิด-19 เชิงรุกสำหรับพาร์ทเนอร์คนขับแกร็บ รวมถึงพาร์ทเนอร์ผู้จัดส่งอาหาร- พัสดุจำนวนกว่า 1,000 คน โดยได้รับการสนับสนุนจาก กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่13 (กทม.) เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการเตรียมพร้อมรับการเปิดเมืองเพื่อฟื้นเศรษฐกิจตามมาตรการผ่อนปรนการล็อคดาวน์ของรัฐบาล

แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่13 (กทม.) เป็นประธานเปิดกิจกรรมความร่วมมือระหว่าง กรมควบคุมโรคโดยสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง และ แกร็บ ประเทศไทย “ผนึกกำลังค้นหาผู้ป่วย โควิด-19 เชิงรุก(Active Case Finding) ในผู้ขับขี่” พร้อมด้วย ดร. เก่งการ เหล่าวิโรจนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ แกร็บ ประเทศไทย, นายแพทย์ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค และผู้บริหารกรมควบคุมโรค

โดย แพทย์หญิงอัมพร เปิดเผยว่า “นับตั้งแต่เริ่มเกิดสถานการณ์โควิด-19 กระทรวงสาธารณสุขวางแผนทั้งเชิงรับและเชิงรุกในการป้องกันและลดการแพร่ระบาดของเชื้อ ในช่วงเริ่มพบผู้ป่วยจากในวงจำกัดมาพบในชุมชน
กรมควบคุมโรค จึงมีนโยบายป้องกันควบคุมโรคโดยใช้กลยุทธ์ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในชุมชน (Active Case Finding) ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น สมาคมเทคนิคการแพทย์แห่งประเทศไทย สภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และแกร็บประเทศไทย โดยกระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้าดันยอดตรวจให้ได้ 200,000 รายทั่วประเทศ เริ่มเปิดตัวโครงการตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2563 เป็นต้นมา”

จากที่กรมควบคุมโรค โดยสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมืองได้จัดทำโครงการค้นหาผู้ป่วยโควิด-19 เชิงรุก ได้ตั้งเป้าหมายค้นหาในกลุ่มเสี่ยงกลุ่มเป้าหมายที่วางแผนไว้ในการค้นหาในพื้นที่รับผิดชอบเขตบริการสุขภาพที่13 /สปคม. คือ

1) กลุ่มการเดินรถทุกระบบ

2) กลุ่มอาชีพเสี่ยง ได้แก่ ส่งอาหาร แม่บ้าน รปภ.

3) กลุ่มองค์กร เช่น ศาสนา เรือนจำมูลนิธิ/จิตอาสากู้ภัย เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการสุขภาพ

4) กลุ่มสถานที่แออัด รวมทั้ง

5) พื้นที่รอยต่อเขตเมืองปริมณฑล

โดยเริ่มแรกนำร่องที่เขตบางเขนทั้งนี้ ผลการตรวจผู้ที่อยู่ในเขตบางเขนจำนวน 3,580 รายผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2563 ถึงปัจจุบันพบว่าผู้พักอาศัยพักอาศัยในเขตบางเขน 3,051 ราย ในจำนวนนี้เป็นพนักงานขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ ผู้ขับรถจักรยานยนต์รับจ้างส่งอาหารแกร็บฟู้ด ขับรถโดยสารสาธารณะ(Taxi) รวม 1,674 ราย รองมาเป็นกลุ่มผู้มีโอกาสปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม เช่น คนสวนพนักงานเก็บขยะ จำนวน 919 ราย ค้าขาย/แม่ค้า 572 ราย ประชาชนทั่วไป 411 ราย บุคลากรทางการแพทย์ 4

นายแพทย์ปรีชา รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเสริมว่า “ที่ผ่านมากรมควบคุมโรคได้ประสานความร่วมมือกับ แกร็บ ประเทศไทย เช่น จัดกิจกรรมตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่ให้กับพาร์ทเนอร์คนขับ  รวมถึงให้ความรู้และคำแนะนำในการดูแลสุขภาพตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 พบว่า ผู้โดยสารใช้บริการคนขับรถผ่านแอปพลิเคชันแกร็บเป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้ประกอบอาชีพเดินรถสาธารณะผู้ขับขี่เหล่านี้ ถือเป็นกลุ่มอาชีพที่มีความเสี่ยง ในการรับหรือแพร่กระจายเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับการเปิดเมืองหลังจากที่รัฐบาล รวมถึงกรุงเทพมหานครได้ออกมาตรการผ่อนปรนผ่อนคลายการล็อกดาวน์กรมควบคุมโรคจึงได้ให้การสนับสนุนเจ้าหน้าที่มารับการตรวจเชื้อโควิด-19 เชิงรุก ได้แก่ พาร์ทเนอร์คนขับ และพาร์ทเนอร์ผู้จัดส่งอาหาร-พัสดุของแกร็บ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 2 พฤษภาคม 2563 จำนวน 768 คน ผลการตรวจทุกรายปกติไม่พบเชื้อ และวันนี้ (5 พฤษภาคม) มารับการตรวจเพิ่มกว่า 200 คน ณ คลินิกโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง และสิ่งส่งตรวจที่ห้องปฏิบัติการตรวจหาเชื้อโควิด-19 สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมืองซึ่งผ่านการรับรองจากกรม      วิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข”

“แกร็บ ถือเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการจากภาคเอกชนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยของผู้ใช้บริการและพาร์ทเนอร์คนขับอย่างต่อเนื่องที่ผ่านมาแกร็บได้ขานรับนโยบายของภาครัฐและปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานต่าง ๆ ภายใต้สังกัดของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดครอบคลุมทั้งบริการการเดินทาง และบริการจัดส่งอาหารและพัสดุ อาทิ การแจกหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือให้กับพาร์ทเนอร์การประกาศใช้มาตรการส่งอาหาร-พัสดุแบบไร้การสัมผัสการส่งเสริมให้พาร์ทเนอร์ผู้จัดส่งอาหารปฏิบัติตามแนวทางในการจัดส่งอาหารอย่างปลอดภัย และให้พาร์ทเนอร์ยืนห่างกันไม่น้อยกว่า 1 เมตรระหว่างรออาหารที่หน้าร้านรวมถึงการกระตุ้นให้ผู้ใช้บริการหันมาชำระค่าใช้บริการโดยหลีกเลี่ยงการใช้เงินสด ซึ่ง ล้วนเป็นมาตรการที่สอดคล้องกับแนวทางการควบคุมและป้องกันโรคติดต่อของกรมควบคุมโรค”

ดร. เก่งการ เหล่าวิโรจนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ แกร็บประเทศไทย กล่าวว่า “เพื่อเป็นการสนับสนุนมาตรการผ่อนปรนของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการแกร็บได้ปรับแผนธุรกิจเพื่อรองรับการให้บริการหลังการเปิดเมืองโดยยังคงให้ความสำคัญกับมาตรฐานด้านความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยเป็นอันดับแรก โดยนอกเหนือจากการจัดตรวจโรคโควิด-19 เชิงรุกที่ได้รับความอนุเคราะห์จากกระทรวงสาธารณสุขแล้วแกร็บยังได้แจกหน้ากากผ้าเพิ่มเติมให้กับพาร์ทเนอร์คนขับและจัดส่งอาหาร-พัสดุอย่างต่อเนื่องการจับมือกับบริษัทพันธมิตรเพื่อให้บริการอบฆ่าเชื้อรถยนต์กับพาร์ทเนอร์คนขับการออกมาตรการและสื่อสารให้พาร์ทเนอร์คนขับรักษามาตรฐานด้านความสะอาดในการให้บริการรวมทั้งการดูแลทำความสะอาดยานพาหนะและอุปกรณ์ต่าง ๆ นอกจากนี้ แกร็บยังอยู่ระหว่างการศึกษาหาแนวทางความร่วมมือกับสำนักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษาในการออกแบบและพัฒนาอุปกรณ์เพื่อกั้นระหว่างคนขับและผู้โดยสารที่ทำจากแผ่นพลาสติกใส (Anti-Coronavirus Plastic Partition) เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อโรคซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดตัวอุปกรณ์ต้นแบบได้ในเร็วๆ นี้”

ทั้งนี้ นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 บริการขนส่งสาธารณะถือเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างมากอันเนื่องมาจากการประกาศนโยบายล็อกดาวน์การปิดรับนักท่องเที่ยวและผู้เดินทางที่มาจากต่างประเทศรวมไปถึงการประกาศมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและส่งเสริมให้คนไทยหลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกบ้านส่งผลให้จำนวนการใช้บริการการเดินทางของแกร็บลดลงอย่างมากจนส่งผลกระทบต่อการหารายได้ของพาร์ทเนอร์คนขับ อย่างไรก็ดีแกร็บได้พยายามให้ความช่วยเหลือกับพาร์ทเนอร์โดยการเปิดให้สามารถรับงานส่งอาหารด้วยรถยนต์แทนบริการการเดินทางรวมไปถึงการโปรโมตบริการจัดส่งสินค้าผ่านแกร็บเอ็กซ์เพรส (GrabExpress) ด้วยรถยนต์มากขึ้น

ซึ่งแม้ว่าอาจจะไม่สามารถทดแทนรายได้จากการบริการการเดินทางได้ทั้งหมด แต่ก็ถือเป็นช่องทางในการสร้างรายได้เสริมให้กับคนไทยในภาวะวิกฤติ

“จากมาตรการผ่อนปรนการล็อคดาวน์ของรัฐบาลน่าจะส่งผลให้ภาคธุรกิจในหลายๆ ส่วนสามารถกลับเปิดให้บริการได้รวมถึงการที่องค์กรต่าง ๆ เริ่มให้พนักงานกลับเข้าทำงานซึ่งเราคาดว่าในเดือนพฤษภาคมนี้น่าจะเริ่มมีผู้ใช้บริการขนส่งสาธารณะซึ่งรวมถึงการใช้บริการการเดินทางของแกร็บเพิ่มมากขึ้นซึ่งจะช่วยส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้หมุนเวียนให้กับพาร์ทเนอร์คนขับของแกร็บอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม ทุกภาคส่วนในสังคมซึ่งรวมถึงภาคธุรกิจอย่างแกร็บและพาร์ทเนอร์คนขับต่างก็ยังต้องร่วมมือกันในการเฝ้าระวังและปฏิบัติตามหลักการและวิธีการบริหารจัดการด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขและอง์การอนามัยโลกอย่างเคร่งครัดเพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะสามารถควบคุมและป้องกันการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 ได้อย่างดีที่สุด” ดร. เก่งการ กล่าวทิ้งท้าย

เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้แล้ววันนี้!....