9

 

เมื่อมองไปรอบ ๆ ตัวเราในตอนนี้ จะเห็นว่าดอกเบี้ยเงินฝากต่ำเหลือเกิน แถมรัฐบาลหลายแห่งทั่วโลกก็เริ่มใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น หรือสหภาพยุโรป ซึ่งเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ คือมันเริ่มจะเป็นนโยบายที่หลาย ๆ ประเทศเริ่มให้ความสนใจจะนำมาใช้ และก็มีผลกระทบกับชีวิตประจำวันของเราไปแบบไม่ทันตั้งตัวแล้ว

 

ดอกเบี้ยติดลบ แปลว่า คนฝากเงินจะต้องจ่ายเงินให้กับคนมายืมเงิน ซึ่งก็เหมือนกับอยู่ดี ๆ มีเพื่อนมายืมเงินเรา แล้วบอกว่า “เฮ้ย…เราอยากยืมเงิน 1,000 นึง ขอเอามาใช้ก่อนแล้วเดี๋ยวคืน แต่ตอนคืนนั้น ขอคืนแค่ 800 นะ” แล้วแทนที่เราจะโกรธ เราที่เป็นคนให้ยืมกลับรู้สึกดีใจที่มีคนมาขอยืมเงินเรา โชคยังดีที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในบ้านเรายังไม่ติดลบ แต่ช้าก่อน…ถึงแม้จะเห็นว่าการฝากเงินเอาดอกเบี้ยเป็นการเพิ่มมูลค่าของเงินในกระเป๋าเรา ถึงกระนั้น เราก็ยังมีเพื่อนคู่ใจที่เรียกว่า “อัตราเงินเฟ้อ” ที่คอยบั่นทอนมูลค่าของเงิน แอบติดสอยห้อยตามมาด้วย และถ้าอัตราเงินเฟ้อนั้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ก็เหมือนกับการที่ดอกเบี้ยติดลบอยู่ดี

 

โดยโอกาสจะเกิดเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในอนาคตนั้นมีอยู่มาก เพราะเห็นกันอยู่ว่านโยบายพิมพ์แบงก์ออกมาเป็นว่าเล่น (หรือที่เรียกติดปากกันว่า QE-Quantitative Easing) ได้แพร่ไปในหลายประเทศจนกลายเป็นแฟชั่น ทำให้เม็ดเงินมหาศาลจากทั่วทุกมุมโลก ได้ถูกผลักออกมาปลิวว่อนเข้าภาคการผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งถ้าปริมาณเงินมีเยอะขึ้น แต่จำนวนสินค้ามีเท่าเดิม ก็หมายถึงเงินจะมีมูลค่าลดลง (เพราะใช้ปริมาณเงินที่เยอะขึ้น เพื่อมาซื้อสินค้าจำนวนเท่าเดิม)

การกดอัตราดอกเบี้ยในตลาดให้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และให้ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ ก็…เหมือนกับเป็นการลงโทษคนออมเงิน ขณะเดียวกันก็เป็นการให้รางวัลคนที่เป็นหนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อสามารถ “กัดกร่อน” มูลค่าหนี้ได้เร็วขึ้น พร้อม ๆ กับเงินออมที่โดน “กัดกร่อน” เพราะให้เงินทำงานสู้เพื่อเอาชนะอัตราเงินเฟ้อยังไม่ได้เลย

 

จึงไม่แปลกเลยที่เมื่อก่อนจะเห็นรัฐบาลของประเทศที่มีหนี้สินล้นมือนิยมใช้นโยบายแบบนี้เช่น เมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว (ช่วง ค.ศ. 1945-1980) หลายประเทศเจาะจงทำดอกเบี้ยให้ติดลบ พร้อมกับพยายามค่อย ๆ ทำให้มีอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เพื่อทำให้มูลค่าหนี้ที่มีอยู่โดนกัดกร่อนไปทีละมาก ๆ และยิ่งเศรษฐกิจโลกในทุกวันนี้ได้ถูกผูกกันไว้อย่างเหนียวแน่นมากอย่างกับอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมโยงกันทั่วโลกปัญหาตอนนี้จึงไม่ได้อยู่ที่ว่าดอกเบี้ยจะผันผวนหรือติดลบแต่เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ว่าถ้าทุกอย่างยังคงเป็นอย่างนี้อยู่ต่อไปแล้ว เราจะปรับตัวการวางแผนการเงินทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้อย่างไร

 

การลงทุนในสถานการณ์ที่งงๆ เช่นนี้ จึงต้องเข้าใจและวางแผนให้เหมาะสมที่จะลงทุนสู้กับภาวะอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ ซึ่งก็ต้องมองหาการลงทุนในสินทรัพย์ที่จะเอาชนะอัตราเงินเฟ้อได้ เช่น พันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนที่ผูกกับอัตราเงินเฟ้อ (ยิ่งเงินเฟ้อมาก ก็จะได้ผลตอบแทนมาก) หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งอาจไม่ใช่ทองคำหรือน้ำมันเสมอไปก็ได้

 

ในอีกมุมหนึ่ง ผมเห็นว่าการใช้นโยบายการลงโทษคนออมเงินหรือคนเป็นเจ้าหนี้นั้น หมายความว่า เราควรจะต้องเปลี่ยนจากเจ้าหนี้ (ลงทุนในเงินฝากหรือพันธบัตร) ไปเป็นเจ้าของกิจการ (ลงทุนในหุ้น) แทน ซึ่งเหมือนการสนับสนุนให้เงินไหลออกจากตลาดพันธบัตร หมุนเข้าสู่ตลาดหุ้น…โดยเฉพาะการเลือกลงทุนในหุ้นที่สามารถผ่องถ่ายอัตราเงินเฟ้อไปสู่ราคาสินค้าได้ ซึ่งก็ถือเป็นการหลบอัตราเงินเฟ้อ หรือดอกเบี้ยติดลบได้ดีอีกทางหนึ่ง

ในยุคที่เอาเงินใส่ไว้ใน “ตุ่ม” แล้วฝังดิน นั้นยังจะดีกว่าการฝากเงิน… ใครที่ยังไม่รู้ตัวว่ากำลังจะเสียเปรียบคนอื่นในฐานะที่เป็นเจ้าหนี้อยู่ คงต้องหันกลับมาคิดและศึกษา ทำความเข้าใจว่าตอนนี้กระแสของโลกเรานั้นกำลังวิ่งไปทิศทางไหนอยู่…

สมัยนี้…เงินทำงานยากขึ้นนะครับ !!!

 

 

ที่มา – ประชาชาติธุรกิจ คอลัมน์ คุยฟุ้งเรื่องการเงิน โดย ทอมมี แอคชัวรี

 

 

 

 

เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้แล้ววันนี้!....